ในยุคที่ต้นทุนค่าไฟพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การเพิ่มประสิทธิภาพต้นทุนพลังงานด้วย BESS (ระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่) ได้รับความสนใจอย่างมาก ข้อมูลล่าสุดเผยว่าองค์กรที่ติดตั้งระบบ BESS สามารถลดต้นทุนไฟฟ้าได้ 10–30% โดยได้รับแรงสนับสนุนจากโครงการเงินอุดหนุน >> สนับสนุนของรัฐบาลญี่ปุ่นรวมกว่า 346 พันล้านเยน ทำให้ระยะเวลาคืนทุนลดลงเหลือเพียง 5–15 ปี บทความนี้จะอธิบายเทคโนโลยีล่าสุด และผลลัพธ์จากการใช้งานอย่างเป็นรูปธรรม
BESS เป็นระบบกักเก็บพลังงานที่ผสานการทำงานระหว่าง แบตเตอรี่ และ PCS (Power Conditioning System) เพื่อปรับสมดุลอุปสงค์–อุปทานของ >> ปริมาณการใช้และการผลิตไฟฟ้า ช่วยสร้างทั้งความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ และ ความมั่นคงของระบบไฟฟ้า
BESS (Battery Energy Storage System)
คือระบบกักเก็บพลังงานที่รวมแบตเตอรี่ความจุสูงเข้ากับอุปกรณ์แปลงพลังงาน (PCS: Power Conditioning System)เชื่อมต่อเข้ากับโครงข่ายไฟฟ้า (Grid) เพื่อเก็บพลังงานส่วนเกิน และจ่ายไฟออกในช่วงที่ความต้องการใช้สูงสุด (Peak Demand) ทำให้เกิดการปรับสมดุลการใช้ไฟฟ้าอย่างเหมาะสม
องค์ประกอบหลักของระบบ BESS ได้แก่:
องค์ประกอบทั้งหมดนี้ทำงานร่วมกันแบบบูรณาการ ทำให้สามารถตอบสนองได้ในระดับ มิลลิวินาที
พร้อมรองรับการทำงานที่มั่นคงต่อเนื่องในระยะยาว >> เวลานาน
กลไกหลักในการลดค่าไฟฟ้า ของ BESS มี 2 ประการ คือ
Peak Cut คือการลดกำลังไฟฟ้าสูงสุดที่วัดเป็นช่วงเวลา 30 นาที ในญี่ปุ่น ค่า Demand สูงสุดในรอบ 12 เดือนจะถูกใช้เป็นเกณฑ์คำนวณค่าไฟพื้นฐาน ดังนั้น หากลดกำลังไฟได้ 5kW จะช่วยลดค่าไฟพื้นฐานได้ราว 100,000 เยน/ปี
(การคำนวณ: 5kW × 1,890 เยน × 0.85 × 12 เดือน = 96,390 เยน)
Peak Shift คือการใช้ประโยชน์จากส่วนต่างของอัตราค่าไฟตามช่วงเวลา (TOU: Time-of-Use)
ตัวอย่างจาก Tokyo Electric Power Energy Partner แสดงให้เห็นว่า
ค่าไฟช่วงกลางวัน = 23.20 เยน/kWh, ค่าไฟช่วงกลางคืน = 15.74 เยน/kWh
มีส่วนต่างราว 32% (7.46 เยน/kWh)
หากย้ายโหลดการใช้ไฟ 1,000kWh/เดือน จะช่วยประหยัดได้ 7,460 เยน/เดือน หรือ 90,000 เยน/ปี
ในทางปฏิบัติ ระบบ BESS จะเรียนรู้รูปแบบการใช้ไฟฟ้า และควบคุมการชาร์จและการจ่ายไฟตามการคาดการณ์ความต้องการแบบอัตโนมัติ ทำให้สามารถทำงานได้อย่าง เต็มประสิทธิภาพ 24 ชั่วโมง ตลอด 365 วัน โดยไม่ต้องอาศัยการควบคุมจากมนุษย์
ระบบค่าไฟฟ้าของญี่ปุ่นใช้รูปแบบ อัตราค่าบริการ 2 ส่วน (Basic Charge + Energy Charge)
ซึ่งมีความสอดคล้องสูงกับการใช้งาน BESS โดยเฉพาะผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ที่รับไฟฟ้าแรงสูง–แรงดันพิเศษ (High Voltage / Extra High Voltage) ซึ่งค่าไฟพื้นฐานคิดเป็นสัดส่วน 30–40% ของต้นทุนไฟฟ้ารวม ดังนั้น การลด Demand ผ่าน BESS จึงมีผลอย่างมากต่อการลดต้นทุน
ในระบบ TOU (Time-of-Use Tariff) ของญี่ปุ่น แบ่งเวลาเป็น 3 ช่วง ได้แก่:
การใช้ประโยชน์จากส่วนต่างนี้ทำให้ ความคุ้มค่าของ BESS สูงสุด >> การใช้ BESS มีความคุ้มค่าสูง นอกจากนี้ การเริ่มต้นใช้ FIP (Feed-in Premium) ตั้งแต่เมษายน 2022 ทำให้การผสานพลังงานหมุนเวียน + >> ร่วมกับBESS มีความได้เปรียบมากขึ้น เพราะสามารถขายไฟฟ้าในตลาดตามราคาที่เปลี่ยนแปลงได้ และจ่ายไฟออกในช่วงที่ราคาสูงเพื่อสร้างรายได้สูงสุด
ตลาด BESS ของญี่ปุ่นกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยในปีงบประมาณ 2023 ยอดการจัดส่งเติบโตขึ้น 125% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า การสนับสนุนด้านเงินอุดหนุน >> สนับสนุนจากรัฐบาลยังช่วยเร่งการนำระบบนี้ไปใช้มากยิ่งขึ้น
ตามสถิติของ สมาคมอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าญี่ปุ่น (JEMA) มียอดจัดส่งระบบกักเก็บพลังงานสำหรับครัวเรือน (Home Battery System) ในปีงบประมาณ 2023 อยู่ที่ 156,000 ชุด คิดเป็นความจุรวม 1,369,000 kWh ซึ่งเติบโตขึ้น 125% YoY (เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า) นอกจากนี้ ความจุเฉลี่ยต่อเครื่องก็เพิ่มขึ้นจาก 7.09 kWh (ปี 2016) เป็น 8.69 kWh (ปี 2023) แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มการใช้แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ขึ้น
สำหรับ ระบบกักเก็บไฟฟ้าขนาดใหญ่ (Grid-scale BESS) การนำไปใช้ก็เร่งตัวเช่นกัน >> ก็มีการนำไปใช้พุ่งสูงเช่นกัน ในปีงบประมาณ 2024 รัฐบาลได้จัดสรรเงินอุดหนุน 34.6 พันล้านเยน เพื่อสนับสนุน 27 โครงการ โดยมีสัดส่วนสูงสุดอยู่ที่ ฮอกไกโด (9 โครงการ) และ คิวชู (6 โครงการ) ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนสูง
ผู้ผลิตในประเทศญี่ปุ่น
ผู้ผลิตต่างชาติ
การแข่งขันด้านเทคโนโลยี
การใช้ AI ในการพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าและควบคุมการชาร์จ– >> และการจ่ายไฟ ทำให้สามารถพยากรณ์ได้อย่างแม่นยำในระดับ ความคลาดเคลื่อนต่ำกว่า 5% และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการประหยัดค่าไฟฟ้าได้มากถึง 30%
เทคโนโลยี AI ล่าสุดทำให้ความแม่นยำของการพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด
>> การใช้ AI อุตสาหกรรมเฉพาะ วิเคราะห์ข้อมูลการใช้ไฟฟ้าในอดีต ร่วมกับข้อมูลสภาพอากาศตามปฏิทินทำให้ได้ผลพยากรณ์ที่มีความคลาดเคลื่อนต่ำกว่า 5%
อีกหนึ่งประโยชน์สำคัญคือการควบคุมแบบเชื่อมโยงกับราคาตลาดไฟฟ้า (JEPX) แบบเรียลไทม์ โดยทำการชาร์จไฟในช่วงที่ราคาต่ำ และจ่ายไฟออกในช่วงที่ราคาสูง เพื่อสร้างรายได้จาก Arbitrage ได้สูงสุด
การเชื่อมต่อระหว่าง EMS (Energy Management System) และ BESS ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในระดับองค์กรหรือโรงงานทั้งระบบ
จากการวิจัยของ Frost & Sullivan ตลาด EMS ทั่วโลกมีมูลค่า 1.3 ล้านล้านเยน (ปี 2022) และคาดว่าจะเติบโตเป็น 2.7 ล้านล้านเยน (ปี 2035) โดย โซลูชันแบบบูรณาการ EMS+BESS จะเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของการเติบโตนี้
บริษัทที่นำ BESS ไปใช้งานจริงสามารถลดค่าไฟฟ้าได้ 10–30% ต่อปี และเมื่อรวมกับการใช้ประโยชน์จากเงินอุดหนุน >> สนับสนุนทำให้ระยะเวลาคืนทุน (Payback Period) สั้นลงเหลือเพียง 5–15 ปี
ข้อได้เปรียบในภาคการผลิต
BESS สามารถเชื่อมกับแผนการผลิต (Production Plan) เพื่อควบคุมการชาร์จ– >> การคายไฟ ช่วยรักษาเสถียรภาพคุณภาพไฟฟ้า ป้องกันการหยุดสายการผลิตจากแรงดันตกชั่วขณะ
→ ลดความเสียหายเชิงโอกาส มูลค่าหลายสิบล้านเยนต่อปี
รัฐบาลญี่ปุ่นจัดสรรงบ 34.6 พันล้านเยน สำหรับเงินอุดหนุน >> สนับสนุนระบบกักเก็บไฟฟ้าขนาดใหญ่ (Grid-scale BESS) และขยายการสนับสนุนทั้งภาคครัวเรือนและอุตสาหกรรม
พื้นที่เด่น:
ขนาดโครงการ: เฉลี่ย 10–50 MWh ผู้ดำเนินการหลักคือ บริษัทไฟฟ้าขนาดใหญ่และผู้ผลิตพลังงานหมุนเวียน
ตัวอย่าง: ติดตั้ง BESS ขนาด 10 kWh
→ ได้รับอุดหนุน >> การสนับสนุนพื้นฐาน 370,000 เยน + โบนัสรวม >> เงินสนับสนุนเพิ่มพิเศษ รวม ≈ 500,000 เยน
เงินอุดหนุน >> สนับสนุนท้องถิ่น:
การพัฒนา แบตเตอรี่โซลิดสเตต (All-Solid-State Battery) ที่จะเริ่มใช้งานเชิงพาณิชย์ในปี 2027 และ แบตเตอรี่โซเดียมไอออน (Sodium-ion Battery) ที่มีต้นทุนต่ำ กำลังจะยกระดับความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจของ BESS อย่างก้าวกระโดด
องค์การพัฒนาพลังงานใหม่และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม (NEDO) ได้เริ่มโครงการ “การประเมินวัสดุและการพัฒนาเทคโนโลยีพื้นฐานของแบตเตอรี่โซลิดสเตตรุ่นถัดไป” ตั้งแต่ปี 2023 ด้วยงบประมาณ 1.8 หมื่นล้านเยน โดยมีบริษัทใหญ่ เช่น Toyota, Nissan, Honda และอีกกว่า 33 องค์กรเข้าร่วม
คุณสมบัติหลัก
Toyota ตั้งเป้าเชิงพาณิชย์ใน ปี 2027–2028 คาดว่าเมื่อแพร่หลายแล้ว BESS จะใช้พื้นที่ติดตั้งน้อยลง ครึ่งหนึ่ง และจะทำให้ลดความถี่ในการบำรุงรักษาลงอย่างมาก โดยต้นทุนรวมจะลดลงเหลือเพียง 50–60% ภายในปี 2030
แบตเตอรี่โซเดียมไอออน (Sodium-ion Battery) ใช้ โซเดียมจากน้ำทะเล ซึ่งมีปริมาณมหาศาลแทนลิเธียม ทำให้ต้นทุนวัตถุดิบลดลงมาก
CATL (จีน) เป็นรายแรกของโลกที่เริ่มผลิตในเชิงพาณิชย์ → >> ซึ่งมีต้นทุนอยู่ที่ 60–70% ของลิเธียมไอออน
Nippon Electric Glass (ญี่ปุ่น) ประสบความสำเร็จในการพัฒนา โซลิดสเตตโซเดียมไอออน โดยใช้วัสดุออกไซด์ที่ปลอดภัยสูง
→ ใช้งานได้เสถียรในช่วง –20℃ ถึง 80℃
→ ความหนาแน่นพลังงาน ~70–80% ของลิเธียมไอออน แต่เพียงพอสำหรับการใช้งานแบบ Fixed Storage
คาดการณ์ว่า ภายในปี 2030 แบตเตอรี่โซเดียมไอออนจะครอง 30% ของตลาดแบตเตอรี่แบบติดตั้งประจำที่ (Stationary Storage) และทำให้ต้นทุนการลงทุนเริ่มต้นของ BESS ลดลงถึงครึ่งหนึ่ง
ตลาด VPP (Virtual Power Plant) คาดว่าจะเติบโตจาก 7.5 พันล้านเยน (2021) ไปสู่ 73 พันล้านเยน (2030) หรือเพิ่มขึ้นเกือบ 10 เท่า
BESS ถูกมองว่าเป็นเทคโนโลยีหลักในการรวมแหล่งพลังงานขนาดเล็กกระจาย (Distributed Energy Resources) ให้ทำงานเสมือนโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่
การวิเคราะห์โดย NTT Data Institute of Management Consulting ระบุว่า BESS ขนาด 100 kWh สามารถสร้างรายได้เสริมปีละ 5–10 แสนเยน โดยเฉพาะการขายบริการ Primary Control Reserve (การตอบสนองใน 10 วินาที) ที่มีราคาสูง
งบประมาณปี 2025 ของกระทรวงสิ่งแวดล้อมญี่ปุ่น มีการจัดสรรงบก้อนใหญ่ให้โครงการ VPP
→ สนับสนุนให้ Aggregator นำ BESS ขนาดเล็กเข้าสู่ตลาด
→ รวมถึง แบตเตอรี่ครัวเรือน ที่สามารถเชื่อมต่อเป็นเครือข่าย VPP ขนาดใหญ่ได้
BESS ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือในการลดต้นทุนเท่านั้น แต่กำลังพัฒนาไปสู่โครงสร้างพื้นฐานหลักที่สนับสนุนทั้งการใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นแหล่งพลังงานหลัก และการสร้างเสถียรภาพของระบบไฟฟ้า
จากการวิเคราะห์ของ EY Japan ความต้องการใช้ BESS จะเติบโตถึง กำลังการผลิต 572 GW และความจุ 1,848 GWh ภายในปี 2030 หรือขยายตัวมากกว่า 4 เท่า จากปัจจุบัน
ปัจจัยหลักคือความต้องการเสถียรภาพของระบบไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของพลังงานหมุนเวียนที่มีความผันผวนสูง
เก็บพลังงานส่วนเกินช่วงกลางวัน แล้วจ่ายไฟในช่วงเย็น– >> ถึงกลางคืน → เพิ่มสัดส่วนการใช้ไฟฟ้าเพื่อการบริโภคเองได้ถึง 70–80%
ภายใต้ระบบ FIP ยังสามารถขายไฟในช่วงราคาสูง เพื่อสร้างรายได้มากกว่า FIT 20–30%
ทำหน้าที่ลดความผันผวนของการผลิตไฟฟ้า โดยเฉพาะโครงการ Offshore Wind
→ เริ่มมีการกำหนดมาตรฐานติดตั้ง BESS ที่สัดส่วน 20–30% ของกำลังการผลิตเพื่อเลี่ยงข้อจำกัดของสายส่ง
BESS ถูกจัดให้เป็น เทคโนโลยีหลัก สำหรับการบรรลุเป้าหมาย Carbon Neutral ปี 2050
จากการวิเคราะห์ของ RIETI เทคโนโลยีการกักเก็บพลังงานคือหนึ่งในสาขาที่ญี่ปุ่นควรรักษาความสามารถในการแข่งขัน
ก่อนลงทุน BESS จำเป็นต้องวิเคราะห์ รูปแบบการใช้ไฟฟ้าขององค์กรอย่างละเอียด โดยเก็บข้อมูล Demand ทุก 30 นาที เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 1 ปี เพื่อนำมาคำนวณขนาดแบตเตอรี่ที่เหมาะสม
ทำให้บริษัทต่าง ๆ ต้องตัดสินใจระหว่าง การลงทุนก่อนเพื่อเก็บข้อได้เปรียบของผู้บุกเบิก กับ การรอให้เทคโนโลยีสุกงอม