%20(1)%20(1).png)
ราคาค่าไฟฟ้าที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ทวีความรุนแรง และแนวโน้มการลดคาร์บอนที่เร่งตัวทั่วทั้งห่วงโซ่อุปทาน กำลังทำให้สภาพแวดล้อมด้านพลังงานสำหรับภาคธุรกิจอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ ท่ามกลางบริบทนี้ BESS (ระบบกักเก็บพลังงาน) และ EMS (ระบบบริหารจัดการพลังงาน) ได้รับความสนใจในฐานะเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยผสานกลยุทธ์ “ป้องกันความเสี่ยง” และ “สร้างโอกาส” ในการบริหารจัดการพลังงานขององค์กร
อย่างไรก็ดี หลายองค์กรอาจเคยได้ยินคำเหล่านี้ แต่ยังไม่ชัดเจนว่า BESS และ EMS สามารถทำอะไรได้บ้าง และจะสร้างประโยชน์เชิงกลยุทธ์ให้กับธุรกิจอย่างไร บทความนี้จึงรวบรวมข้อมูลสำคัญตั้งแต่พื้นฐานของ BESS และ EMS ไปจนถึง ประโยชน์ที่ชัดเจนจากการติดตั้ง ปัญหาและอุปสรรคที่ควรทราบล่วงหน้า รวมถึงวิธีใช้มาตรการสนับสนุนทางการเงินอย่างชาญฉลาด เพื่อให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลครบถ้วนและเข้าใจง่ายสำหรับการพิจารณาใช้งานจริง
BESS และ EMS กำลังเปลี่ยนสถานะจากเครื่องมือที่ใช้โดยบางบริษัทชั้นนำไปสู่ “หัวข้อจำเป็น” สำหรับทุกองค์กร สาเหตุสำคัญมาจากการเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อมใหญ่ 3 ประการที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนี้
ความผันผวนทางภูมิรัฐศาสตร์และราคาพลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นถึงระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยเฉพาะสำหรับโรงงานหรือสถานประกอบการที่ใช้พลังงานมาก ค่าไฟฟ้ากลายเป็นต้นทุนสำคัญที่กดดันผลประกอบการอย่างรุนแรง แนวโน้มนี้คาดว่าจะยังคงดำเนินต่อไป ทำให้มุมมองการบริหารพลังงานเปลี่ยนจากการเพียง “ซื้อ” มาเป็นการ “ควบคุมและบริหารจัดการ” ด้วยตนเองจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง
บริษัทระดับโลกอย่าง Apple หรือ Google เริ่มกำหนดให้คู่ค้าต้องใช้พลังงานหมุนเวียน การลดคาร์บอนจึงไม่สามารถทำได้เพียงแค่ภายในองค์กรแต่เพียงอย่างเดียว แต่ต้องเกิดขึ้น ทั้งห่วงโซ่อุปทาน การติดตั้งพลังงานหมุนเวียนและการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพด้วย BESS และ EMS จึงเป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาความสามารถในการแข่งขันและความต่อเนื่องของการทำธุรกรรม
เหตุการณ์เช่น แผ่นดินไหว พายุไต้ฝุ่น และฝนตกหนักเฉียบพลัน กำลังเพิ่มความรุนแรงขึ้นทุกปี การเกิดไฟฟ้าดับครั้งใหญ่จากภัยพิบัติสามารถหยุดชะงักการดำเนินงานได้โดยปริยาย เพื่อปกป้องอุปกรณ์สำคัญ ข้อมูล และรับผิดชอบต่อความต้องการของลูกค้า การจัดเตรียมแหล่งพลังงานสำรองสำหรับสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ การเสริมความแข็งแกร่งให้กับแผนความต่อเนื่องทางธุรกิจ (BCP) จึงกลายเป็นประเด็นเชิงกลยุทธ์ที่กำหนดความน่าเชื่อถือและความมั่นคงขององค์กร
แล้ว BESS และ EMS ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการแก้ไขปัญหาด้านการบริหารพลังงานขององค์กร มีลักษณะอย่างไรบ้าง? เรามาทำความเข้าใจพื้นฐานอย่างชัดเจนและเข้าใจง่าย
BESS (Battery Energy Storage System) หรือในภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า “蓄電システム” หมายถึง ระบบกักเก็บพลังงานไฟฟ้า โดยหลักการคือ ระบบนี้สามารถ เก็บไฟฟ้าที่ผลิตได้เองหรือซื้อจากผู้ให้บริการไฟฟ้าไว้ชั่วคราว และจ่ายออกมาเมื่อจำเป็น ระบบ BESS ประกอบด้วยส่วนสำคัญดังนี้:
EMS (Energy Management System) ทำหน้าที่เป็น “ศูนย์บัญชาการ” ของการใช้พลังงานในอาคารหรือโรงงาน โดยเก็บข้อมูลการใช้พลังงานผ่านเซ็นเซอร์และระบบตรวจวัดต่าง ๆ จากนั้นควบคุมอุปกรณ์ เช่น ระบบปรับอากาศและระบบไฟฟ้าอย่างเหมาะสม เพื่อลดการใช้พลังงานที่สิ้นเปลืองและเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุด
สำหรับประเภทของอาคาร EMS แบ่งได้ดังนี้:
ศักยภาพที่แท้จริงของ BESS จะเกิดขึ้นเมื่อ ทำงานร่วมกับ EMS เช่น EMS ใช้ AI ในการ ทำนายสภาพอากาศและความต้องการไฟฟ้าของอาคารล่วงหน้า ตามนั้นระบบสามารถวางแผนการชาร์จและจ่ายไฟอย่างชาญฉลาดได้โดยอัตโนมัติ เช่น:
การทำงานร่วมกันนี้ถือเป็น กุญแจสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และลดต้นทุนในเชิงธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ
การติดตั้ง BESS และ EMS มอบ ประโยชน์ที่จับต้องได้และสำคัญต่อธุรกิจ โดยสามารถสรุปเป็น 3 ประการหลัก ดังนี้
สำหรับธุรกิจ ค่าไฟฟ้ามักถูกคำนวณจาก ช่วงเวลา 30 นาทีที่ใช้พลังงานสูงสุดในรอบปี (Maximum Demand) การใช้ BESS สามารถจ่ายไฟจากแบตเตอรี่ในช่วงที่เครื่องจักรโรงงานทำงานพร้อมกันและทำให้การใช้ไฟฟ้าเกิด Peak สูงสุด ทำให้ ลดค่าไฟพื้นฐานได้อย่างมาก (Peak Cut) นอกจากนี้ การชาร์จแบตเตอรี่ในช่วงเวลากลางคืนที่ค่าไฟต่ำ และจ่ายไฟในช่วงกลางวันที่ค่าไฟสูง (Peak Shift) จะช่วยลดต้นทุนเพิ่มเติมได้อีก
ในกรณีเกิดไฟฟ้าดับ BESS สามารถทำหน้าที่เป็น แหล่งจ่ายไฟฉุกเฉิน จ่ายไฟให้กับสายการผลิต เซิร์ฟเวอร์ ระบบแสงสว่างและปรับอากาศขั้นต่ำที่จำเป็นต่อการดำเนินธุรกิจ ทำให้ ความเสียหายจากการหยุดชะงักของธุรกิจลดลง หากเชื่อมต่อกับระบบพลังงานแสงอาทิตย์ BESS ยังสามารถเก็บไฟฟ้าที่ผลิตได้ในระหว่างวัน เพื่อใช้งานในช่วงไฟฟ้าดับยาวนาน เพิ่มความสามารถในการฟื้นตัวและความยืดหยุ่น (Resilience) ขององค์กรอย่างมีนัยสำคัญ
พลังงานหมุนเวียน เช่น โซลาร์ มีความผันผวนตามสภาพอากาศ การติดตั้ง BESS จะช่วย เก็บไฟฟ้าที่ผลิตได้ในช่วงกลางวัน เพื่อนำมาใช้ในเวลากลางคืนหรือช่วงที่สภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย ส่งผลให้ อัตราการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนภายในองค์กรสูงขึ้น ลดการปล่อย CO₂ และสนับสนุนการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อม การดำเนินธุรกิจตามแนวทางนี้ช่วยเสริมภาพลักษณ์ขององค์กรในสายตานักลงทุน ลูกค้า และชุมชน ส่งผลให้ มูลค่าองค์กรเพิ่มขึ้นอย่างยั่งยืน
แม้การติดตั้ง BESS และ EMS จะมีประโยชน์มากมาย แต่ การพิจารณาอย่างรอบคอบเกี่ยวกับข้อจำกัดและความท้าทาย ก่อนการลงทุนถือเป็นกุญแจสำคัญต่อความสำเร็จ
BESS ไม่ใช่อุปกรณ์ราคาถูก การติดตั้งต้องมี การลงทุนเริ่มต้นจำนวนมาก สิ่งสำคัญคือ การทำ การจำลองค่าใช้จ่ายและผลตอบแทนล่วงหน้า (ROI) ว่าการลงทุนจะคืนทุนได้ภายในกี่ปี โดยประเมินจาก:
โดยการประเมินอย่างรอบด้านนี้จะช่วยให้สามารถวางแผนการลงทุนที่เหมาะสมที่สุดสำหรับองค์กร
แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่นิยมใช้ใน BESS มี ความเสี่ยงในการลุกไหม้หากไม่ได้รับการจัดการอย่างเหมาะสม ดังนั้นการเลือกอุปกรณ์ต้องปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง เช่น กฎหมายด้านอัคคีภัย และเลือกผลิตภัณฑ์จากผู้ผลิตที่มีความน่าเชื่อถือและมาตรฐานความปลอดภัยสูง
นอกจากนี้ ยังต้อง ตรวจสอบพื้นที่ติดตั้งและเส้นทางการขนส่งอุปกรณ์ ให้เพียงพอสำหรับตัวแบตเตอรี่และพาวเวอร์คอนดิชันเนอร์ (PCS) เพื่อให้การติดตั้งเป็นไปอย่างปลอดภัยและราบรื่น
แบตเตอรี่มีลักษณะคล้ายกับสมาร์ทโฟน คือ ประสิทธิภาพจะลดลงเมื่อมีการชาร์จและจ่ายไฟซ้ำ ๆ แม้หลายผู้ผลิตจะให้การรับประกันกว่า 10 ปี แต่เพื่อให้การใช้งานมีความเสถียรในระยะยาว การบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งจำเป็น
ก่อนการติดตั้งควร ตรวจสอบระบบการบำรุงรักษาหลังการติดตั้งและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับผู้จำหน่าย (Vendor) เพื่อวางแผนการดูแลรักษาที่เหมาะสม
เพื่อเลือก BESS และ EMS ที่เหมาะสมกับองค์กรจากผลิตภัณฑ์หลากหลายประเภท การพิจารณาตาม 3 ขั้นตอนต่อไปนี้ จะช่วยให้การตัดสินใจมีประสิทธิภาพมากขึ้น
เริ่มจากการตอบคำถามว่า “เพื่อติดตั้งทำไม?” เช่น ต้องการลดค่าไฟฟ้าเป็นลำดับแรก ต้องการเสริมความพร้อมด้าน BCP หรือมุ่งเน้นการสร้างภาพลักษณ์ด้านคาร์บอนต่ำ วัตถุประสงค์แต่ละอย่างจะกำหนด สเปกและขนาดของระบบ ที่เหมาะสมแตกต่างกันอย่างมาก
ต่อมา พิจารณา ความจุแบตเตอรี่ (kWh) และกำลังไฟฟ้า (kW) ที่เหมาะสมเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ โดยวิเคราะห์ข้อมูลการใช้พลังงานของสถานประกอบการ เช่น ค่า Maximum Demand ช่วง 30 นาที เพื่อเลือกขนาดที่พอดี ไม่มากเกินไปหรือน้อยเกินไป พร้อมทั้งกำหนดฟังก์ชันของ EMS ที่ต้องการ เช่น การทำนายความต้องการไฟฟ้าด้วย AI หรือการตรวจสอบระยะไกล
นอกจากประสิทธิภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์แล้ว ประสบการณ์การติดตั้งและระบบสนับสนุนระยะยาว ก็เป็นเกณฑ์สำคัญเช่นกัน ควรขอข้อเสนอจากผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายหลายราย เพื่อหา พาร์ทเนอร์ที่เข้าใจความท้าทายขององค์กรและเสนอแนวทางแก้ไขได้ตรงจุด นอกจากนี้ควรตรวจสอบว่าผู้จัดจำหน่ายสามารถช่วยทำ การจำลองค่าใช้จ่ายและผลตอบแทน (ROI) รวมถึงการสนับสนุนการยื่นขอเงินอุดหนุน ได้หรือไม่
สุดท้าย เรามาดู ตัวอย่างการนำ BESS และ EMS ไปใช้งานจริง เพื่อเห็นภาพการประยุกต์ใช้อย่างชัดเจน
ในโรงงานผลิตแห่งหนึ่ง มีการติดตั้งระบบโซลาร์บนหลังคาและเชื่อมต่อกับ BESS ผ่าน EMS พลังงานที่ผลิตได้ในช่วงกลางวันถูกเก็บใน BESS และนำมาใช้ในสายการผลิตช่วงกลางคืน ส่งผลให้ ลดการซื้อไฟฟ้าจากการไฟฟ้าอย่างมาก ลดทั้ง ค่าไฟฟ้าและปริมาณ CO₂ พร้อมกัน ทำให้ทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและผลประกอบการได้รับประโยชน์
ศูนย์ข้อมูลที่ต้องทำงานต่อเนื่อง 24 ชั่วโมงทุกวัน ใช้ BESS เป็น UPS ความจุสูง เพื่อเป็นแหล่งจ่ายไฟสำรองในกรณีไฟฟ้าดับ ทำให้ ธุรกิจสามารถดำเนินต่อได้โดยไม่หยุดชะงัก นอกจากนี้ เมื่อความต้องการไฟฟ้าสูง BESS ยังสามารถจ่ายไฟกลับเข้าสู่ระบบ (Demand Response) เพื่อช่วย รักษาเสถียรภาพของโครงข่ายไฟฟ้า และสร้างรายได้ใหม่ให้กับองค์กร
การติดตั้ง BESS และระบบบริหารจัดการพลังงาน (EMS) ไม่ได้เป็นเพียงมาตรการประหยัดพลังงานหรือการลดต้นทุนเท่านั้น แต่ถือเป็น “การลงทุนเชิงกลยุทธ์” เพื่อให้ธุรกิจสามารถก้าวผ่านยุคที่มีความไม่แน่นอนสูง และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน
ระบบเหล่านี้ไม่เพียงแก้ปัญาระยะสั้น เช่น การลดค่าไฟฟ้าและการเสริมความพร้อมด้าน BCP แต่ยังตอบโจทย์ ประเด็นการบริหารจัดการคาร์บอนในระยะยาว ซึ่งสามารถช่วยเพิ่ม มูลค่าองค์กร ได้อย่างมีนัยสำคัญ
การทบทวนปัญหาพลังงานขององค์กรและการวางแผนก้าวสู่อนาคตอย่างรอบด้านด้วย BESS และ EMS จึงเป็นโอกาสสำคัญที่ควรพิจารณาอย่างจริงจัง
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
