ตลาดแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนสำหรับ BESS กำลังเผชิญจุดเปลี่ยนผ่านที่สำคัญในประวัติศาสตร์ตั้งแต่ปี 2024 ถึง 2025 ด้วยการลดลงของราคาอย่างมากถึง 40% เมื่อเทียบกับปีก่อน ตั้งแต่ปี 2024 จนถึง 2025 ตลาดแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนสำหรับ BESS กำลังก้าวเข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญ ราคาที่ลดลงอย่างมากกว่า 40% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ทำให้ระบบกักเก็บพลังงานในภาคอุตสาหกรรมไม่ใช่แค่การป้องกันภัยพิบัติอีกต่อไป แต่กลายเป็น “โครงสร้างพื้นฐานเชิงกลยุทธ์” ที่สร้างรายได้ได้จริง บทความนี้จัดทำขึ้นสำหรับผู้ดูแลอุปกรณ์ในโรงงาน โดยนำเสนอแนวโน้มเทคโนโลยีล่าสุดและประเด็นการติดตั้งเชิงปฏิบัติที่ควรรู้
BESS (Battery Energy Storage System) เป็นระบบกักเก็บพลังงานที่ประกอบด้วยหลายองค์ประกอบ ที่โดยมีแบตเตอรี่เป็นศูนย์กลาง ในส่วนนี้จะอธิบายโครงสร้างพื้นฐานและหลักการทำงานของระบบ
BESS คือระบบกักเก็บพลังงานที่สามารถชาร์จและจ่ายไฟได้ตามต้องการ องค์ประกอบหลักประกอบด้วย 4 ส่วน ได้แก่ แบตเตอรี่, PCS (Power Conditioning System), EMS (Energy Management System) และ BMS (Battery Management System)
การทำงานร่วมกันของทั้ง 4 ส่วนนี้ ทำให้ระบบสามารถซิงโครไนซ์กับโครงข่ายไฟฟ้าได้ภายในเวลาไม่ถึง 1 วินาที
ในระบบ BESS สำหรับภาคอุตสาหกรรม แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนถือเป็นเทคโนโลยีหลัก โดยมีความหนาแน่นของพลังงานอยู่ที่ 150–250 Wh/kg และประสิทธิภาพการชาร์จ–ดิสชาร์จสูงถึง 95–98% ซึ่งเหนือกว่าระบบแบตเตอรี่ตะกั่วกรด (30–50 Wh/kg, ประสิทธิภาพ 75–85%) อย่างชัดเจน
สำหรับการใช้งานแบบกักเก็บพลังงานแบบติดตั้งประจำที่ (Stationary Storage) แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนชนิดฟอสเฟตเหล็ก (LiFePO4 หรือ LFP) ถือว่าเป็นกระแสหลัก
แม้ความหนาแน่นพลังงานจะอยู่ที่เพียง 90–120 Wh/kg ซึ่งต่ำกว่าแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนชนิดสามธาตุ (NMC) แต่ LFP มีข้อดีคืออายุการใช้งานยาวนานถึง 6,000–10,000 รอบการชาร์จ–ดิสชาร์จ และสามารถทำงานได้ในช่วงอุณหภูมิ -20℃ ถึง +70℃ จึงมีความปลอดภัยและทนทานสูง
ในขณะที่ NMC มีความหนาแน่นพลังงานสูงกว่า อยู่ที่ 150–220 Wh/kg แต่มีอุณหภูมิการสลายตัวเพียง 200–300℃ ทำให้ต้องการมาตรการด้านความปลอดภัยเพิ่มเติม
LFP กลับได้เปรียบตรงที่มีอุณหภูมิการสลายตัวสูงถึงประมาณ 700℃ จึงลดความเสี่ยงการลุกไหม้ได้อย่างมาก
เทคโนโลยี SCiB™ ของ Toshiba ใช้ขั้วลบชนิดลิเทียมไททาเนต ทำให้อายุการใช้งานยาวนานกว่า 20,000 รอบ และรองรับการชาร์จเร็ว 80% ภายในเวลาเพียง 6 นาที ซึ่งช่วยยกระดับความน่าเชื่อถือสำหรับการใช้งานในอุตสาหกรรม
ในปี 2024 ตลาด BESS ได้เกิดการปรับลดราคาครั้งประวัติศาสตร์ ส่งผลให้ความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจของระบบกักเก็บพลังงานในภาคอุตสาหกรรมดีขึ้นอย่างก้าวกระโดด ระยะเวลาคืนทุนสั้นลง ทำให้โอกาสในการลงทุนเชิงกลยุทธ์ขยายตัวมากขึ้น
จากรายงานล่าสุดของ BloombergNEF ระบุว่า ราคาของ BESS ในปี 2024 ลดลงเหลือเฉลี่ย 165 ดอลลาร์สหรัฐต่อ kWh ลดลงถึง 40% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
โดยเฉพาะในตลาดจีน ราคาลดลงมาอยู่ที่เพียง 66–101 ดอลลาร์สหรัฐต่อ kWh ซึ่งถือว่าต่ำเป็นประวัติการณ์
ตัวอย่างโครงการ Peak Cut ในภาคอุตสาหกรรม
ระบบขนาด 1MW/4MWh ใช้งบลงทุนเริ่มต้นประมาณ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการดำเนินงานสามารถลดค่า Demand Charge ได้ปีละ 1.5–2.5 แสนดอลลาร์สหรัฐ ทำให้มีระยะเวลาคืนทุนเพียง 3–5 ปี พร้อมทั้งให้อัตราผลตอบแทนภายใน (IRR) อยู่ที่ 10–15% โครงสร้างต้นทุนแบ่งเป็นแบตเตอรี่แพ็กประมาณ 45–50% อินเวอร์เตอร์ 15–20% และงานติดตั้งเชื่อมต่อระบบไฟฟ้า 10–15%
ในกรณีของประเทศญี่ปุ่น กระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม (METI) ได้อนุมัติงบเงินอุดหนุน 34.6 พันล้านเยนในปีงบประมาณ 2024 เพื่อสนับสนุนค่าอุปกรณ์และงานก่อสร้างในอัตรา 1/2–2/3 ส่งผลให้ระยะเวลาคืนทุนของโครงการสั้นลงไปอีก และเพิ่มความน่าสนใจของการลงทุน BESS ในภาคอุตสาหกรรม
ในประเทศจีน ภายใต้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฉบับที่ 14 (Five-Year Plan) ได้ตั้งเป้าลดต้นทุนต่อหน่วยลง 30% และมีมาตรการชดเชยกำลังการผลิตสำหรับระบบกักเก็บพลังงานแบบอิสระในอัตรา 0.2 หยวนต่อ kWh
นอกจากนี้ ในเขตปกครองซินเจียงยังมีมาตรการสนับสนุนเพิ่มเติม เช่น ค่าเช่ากำลังการผลิตปีละ 300 หยวนต่อ kW และการชดเชยค่า Peak Shaving ที่ 0.55 หยวนต่อ kWh
ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น รัฐบาลไทยได้ขยายมาตรการยกเว้นภาษีสำหรับการติดตั้งระบบกักเก็บพลังงานในภาคอุตสาหกรรม โดยมีปัจจัยหนุนจากยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) ที่เติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 7.8 เท่าเมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะเดียวกัน รัฐบาลมาเลเซียและอินโดนีเซียก็กำลังพิจารณามาตรการสนับสนุนในลักษณะเดียวกันด้วย
ในภาคการผลิตของประเทศญี่ปุ่นและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การใช้ BESS อย่างมีกลยุทธ์ช่วยลดต้นทุนพลังงานและเสริมความแข็งแกร่งด้าน BCP ได้อย่างมีประสิทธิภาพ บทความนี้จะยกตัวอย่างการใช้งานจริงและวิเคราะห์ปัจจัยความสำเร็จ
ที่โรงงานเซกิสุอิ เฮาส์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น ได้ติดตั้งระบบกักเก็บพลังงานขนาด 2MWh ควบคู่กับโซลาร์เซลล์ ทำให้สามารถลดกำลังไฟฟ้าสัญญาได้ 700kW การดำเนินการแบบ Peak Cut ช่วยลดค่าไฟฟ้าพื้นฐานลงอย่างมาก และยังทำหน้าที่เป็นมาตรการ BCP ในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน
รูปแบบการใช้งานหลักในภาคการผลิตมี 3 ประเภท
ในประเทศไทย บริษัท Gotion High-Tech ได้เริ่มเดินสายการผลิตแบตเตอรี่แพ็กกำลังการผลิตปีละ 2GWh (วางและมีแผนขยายเป็น 8GWh ในอนาคต) เพื่อสนับสนุนความต้องการของภาคการผลิตในประเทศ
สำหรับโรงงานขนาดกลางและเล็ก (กำลังไฟฟ้าสัญญาต่ำกว่า 500kW) การติดตั้ง BESS ขนาด 100–500kWh สามารถสร้างผลประโยชน์สูงสุดด้าน Peak Cut ส่วนโรงงานขนาดใหญ่ (มากกว่า 1,000kW) มักเลือกใช้ระบบขนาด 1–5MWh เป็นมาตรฐาน
เกณฑ์สำคัญในการออกแบบระบบ
ตลาด BESS ทั่วโลกยังคงถูกครองโดยผู้ผลิตจากประเทศจีน แต่ผู้ผลิตจากประเทศญี่ปุ่นก็ใช้เทคโนโลยีเฉพาะด้านเข้ามาสร้างความแตกต่าง บทความนี้สรุปจุดเด่นของแต่ละบริษัทและปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณาในการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์
**ส่วนแบ่งตลาดโลก (ข้อมูลปี 2024)**
CATL ยังคงรักษาความเป็นผู้นำด้วยการทำต้นทุนต่ำกว่า 100 ดอลลาร์สหรัฐ/กิโลวัตต์ชั่วโมง พร้อมเทคโนโลยีใหม่ M3P ที่รองรับการใช้งานถึง 1.5 ล้านกิโลเมตร ขณะที่ Panasonic จากประเทศญี่ปุ่น นำเสนอระบบ S+ สำหรับการจัดเก็บและผลิตไฟฟ้าร่วมกัน (3.5–37.8kWh) ครอบคลุมการใช้งานตั้งแต่ครัวเรือนจนถึงเชิงพาณิชย์
เกณฑ์ที่ควรใช้ประเมินในการเลือกผลิตภัณฑ์ BESS
ข้อได้เปรียบของผู้ผลิตจากประเทศจีน
ข้อได้เปรียบของผู้ผลิตจากประเทศญี่ปุ่น
จากมุมมองด้านการบริหารความเสี่ยง แนะนำให้เริ่มต้นด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์ญี่ปุ่นเพื่อทดสอบความน่าเชื่อถือ และเมื่อมีการขยายโครงการในระยะต่อไป จึงพิจารณาเลือกใช้ผลิตภัณฑ์จากจีนเพื่อเพิ่มความคุ้มค่าในการลงทุน
ตั้งแต่เดือนมกราคม 2024 เป็นต้นมา ประเทศญี่ปุ่นได้ปรับปรุงกฎหมายด้านการป้องกันอัคคีภัย
ซึ่งมีผลให้ข้อกำหนดเกี่ยวกับการติดตั้งระบบกักเก็บพลังงานสำหรับภาคอุตสาหกรรมเข้มงวดขึ้นอย่างมาก
ผู้ประกอบการจึงจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายและมาตรการด้านความปลอดภัยที่กำหนด
สาระสำคัญจากการปรับปรุงกฎหมายป้องกันอัคคีภัย
ข้อกำหนดด้านเทคนิคในการติดตั้ง
การจัดการความปลอดภัยด้วยระบบ BMS (Battery Management System)
สาเหตุหลักของความร้อนสูงผิดปกติ
แผนการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน (Preventive Maintenance)
นอกจากนี้ การใช้ระบบตรวจจับก๊าซ (Gas Sensor) เพื่อตรวจวัดก๊าซจากการสลายตัวของอิเล็กโทรไลต์ เช่น CO และ H₂ ยังเป็นมาตรการเตือนภัยล่วงหน้าที่มีประสิทธิภาพ
เพื่อให้ BESS มีความคุ้มค่าสูงสุด การขยายอายุการใช้งานด้วยการบำรุงรักษาที่เหมาะสม การบำรุงรักษาที่เหมาะสมและช่วยยืดอายุการใช้งานเป็นสิ่งจำเป็น
บทความนี้จะแนะนำแนวทางการจัดการจริงที่สามารถช่วยให้ระบบทำงานได้ยาวนานถึง 20 ปี
ตัวชี้วัดสำคัญในการดูแลการใช้งาน
ผลลัพธ์จากการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน
การใช้ประโยชน์จากข้อมูลการปฏิบัติงาน
ด้วยระบบ EMS สามารถเก็บบันทึกประวัติการชาร์จ/คายประจุ, อุณหภูมิ และเหตุขัดข้อง เพื่อนำไปสร้างโมเดลคาดการณ์การเสื่อมสภาพ
การใช้เมื่อผสานกับ AI เพื่อควบคุมการชาร์จ/คายประจุอย่างเหมาะสม จะช่วยยืดอายุการใช้งานได้มากยิ่งขึ้น
วิธีการตรวจสอบการเสื่อมสภาพ
แนวทางการอัปเกรดแบบเป็นขั้นตอน
อุตสาหกรรมแบตเตอรี่กำลังเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญ โดยเฉพาะการพัฒนา แบตเตอรี่แบบโซลิดสเตต (All-Solid-State Battery) ที่จะเริ่มใช้งานจริง พร้อมทั้งการมาของเทคโนโลยีรุ่นถัดไปที่จะมีผลต่อแผนการลงทุนด้านพลังงานในอีก 5 ปีข้างหน้า
กำหนดการพัฒนาเทคโนโลยีรุ่นถัดไป
นวัตกรรมของแบตเตอรี่โซลิดสเตต
การคาดการณ์ตลาด
ระยะสั้น (1–2 ปี)
ระยะกลาง (3–5 ปี)
ระยะยาว (5–10 ปี)
โดยสรุป การตัดสินใจเลือกเทคโนโลยีไม่ควรรอเพียงแค่เทคโนโลยีรุ่นถัดไป แต่ควรเริ่มลงทุนด้วยเทคโนโลยีที่คุ้มค่าและมีความเหมาะสมทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน เพื่อสร้างผลลัพธ์เชิงบวกได้โดยเร็ว