คู่มือการลงทุนในระบบกักเก็บพลังงานประเภทแบตเตอรี่ (BESS) ในประเทศไทย: เจาะลึกโอกาสในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ประเทศไทยประกาศเป้าหมาย Carbon Neutrality ภายในปี 2050 และ Net Zero Emissions ภายในปี 2065 จึงได้เร่งส่งเสริมพลังงานหมุนเวียนและระบบกักเก็บพลังงานประเภทแบตเตอรี่ (BESS) อย่างจริงจัง

BESS คืออะไร? – ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับระบบกักเก็บพลังงานในประเทศไทย

โครงสร้างและองค์ประกอบหลักของ BESS

  • เซลล์แบตเตอรี่ลิเทียมไอออน (Lithium-ion Battery Cell)

  • ระบบจัดการแบตเตอรี่ (BMS)

  • ระบบแปลงพลังงาน (PCS)

  • ระบบบริหารจัดการพลังงาน (EMS)

กรณีศึกษาในประเทศไทย

บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)  (PTT) บริษัทพลังงานชั้นนำของไทย ได้เข้าร่วมเยี่ยมชมศูนย์ทดสอบ BESS ของ BETA+ Thailand เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2025เพื่อดำเนินการคัดเลือกผลิตภัณฑ์ และ ทดสอบการประเมินระบบการกักเก็บพลังงานสำหรับการใช้งานในที่พักอาศัย (Residential Use) และ ภาคพาณิชย์อุตสาหกรรม(Commercial & Industrial Use)

ที่มา

ประเภทและคุณสมบัติของ BESS ที่นิยมใช้ในประเทศไทย

BESS ที่นิยมใช้ในประเทศไทยส่วนใหญ่เป็นแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน (Lithium-ion Battery) โดยเฉพาะแบตเตอรี่ลิเทียมไอรอนฟอสเฟต (Lithium Iron Phosphate: LFP) ที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง แบตเตอรี่ LFP มีคุณสมบัติเด่นคือมีความปลอดภัยสูง สามารถใช้งานได้นานกว่า 3,000 รอบการชาร์จ (Cycles) และมีความเสี่ยงต่อการเกิดความร้อนสูงผิดปกติ (Thermal Runaway) ต่ำ

ในโครงการ BESS ขนาดใหญ่ที่สุดโครงการหนึ่งในประเทศไทย ได้ติดตั้งระบบขนาด 45MW / 136.24MWh และสามารถทำประสิทธิภาพการชาร์จ–จ่ายไฟ Round-trip Efficiency ได้สูงถึง 90.8%

ประโยชน์ 5 ประการของ BESS ต่อโครงข่ายไฟฟ้าประเทศไทย

  1. การเพิ่มเสถียรภาพของโครงข่ายไฟฟ้า ช่วยควบคุมความถี่ (Frequency Regulation) และแรงดันไฟฟ้า (Voltage Control) เพื่อรองรับความผันผวนจากแหล่งผลิตพลังงานหมุนเวียน
  2. การลดยอดการใช้ไฟในเวลาต้องการกำลังไฟฟ้าสูงสุด ( (Peak Shaving) จ่ายไฟฟ้าที่เก็บไว้ในช่วงเวลาที่มีความต้องการสูง เพื่อลดค่าไฟฟ้าส่วนค่าความต้องการสูง (Demand Charge)
  3. การส่งเสริมการบูรณาการใช้แหล่งผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน เก็บไฟฟ้าส่วนเกินจากโซลาร์ในช่วงกลางวันนำมาใช้ในช่วงกลางคืน
  4. แหล่งพลังงานสำรองเมื่อไฟฟ้าดับ รักษาการจ่ายไฟฟ้าต่อเนื่องให้ในสถานที่สำคัญ
  5. การลดค่าไฟฟ้า ใช้ประโยชน์จากระบบคิดค่าไฟฟ้าตามช่วงเวลาการใช้  (Time-of-Use Tariff) เพื่อปรับต้นทุนพลังงานให้เหมาะสม

📊 อัตราค่าไฟฟ้าในประเทศไทย (ข้อมูลเดือนธันวาคม 2024):

ภาคครัวเรือน: 4.293 บาท/หน่วย (0.132 USD/kWh)

ภาคธุรกิจ: 4.300 บาท/หน่วย

ที่มา

สถานการณ์ตลาด BESS ในประเทศไทย

รัฐบาลไทยได้ผลักดันนโยบายพลังงานอย่างจริงจัง ส่งผลให้ตลาด BESS มีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว และได้รับความสนใจว่าเป็นหนึ่งในตลาดสำคัญของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

นโยบายพลังงานของรัฐบาลไทย (2025–2032)

สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน(Energy Policy and Planning Office: EPPO) ได้อนุมัติแผนปฏิบัติการการส่งเสริมอุตสาหกรรมระบบกักเก็บพลังงานประเภทแบตเตอรี่ของประเทศไทย ปี 2023–2032 เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2023 แผนปฏิบัติการดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อสร้าง สภาพแวดล้อม (Ecosystem) ของอุตสาหกรรมระบบกักเก็บพลังงานประเภทแบตเตอรี่ และสร้างอุปสงค์ในวงกว้าง โดยมีกลยุทธ์สำคัญ 4 ด้าน ดังนี้

  1. การส่งเสริมการใช้งาน BESS – การบูรณาการร่วมกับโครงการแหล่งผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่มีอยู่
  2. การปรับรูปแบบสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) – จากประเภทไม่บังคับปริมาณซื้อขายไฟฟ้า  (Non-Firm  PPA) ให้เป็นประเภทกึ่งบังคับหรือบังคับปริมาณซื้อขายไฟฟ้า (Semi-Firm / Firm PPA)
  3. การผลักดันโครงการใหม่ (Greenfield Projects) – สนับสนุนการติดตั้ง BESS ในโครงการที่ตั้งขึ้นใหม่
  4. การส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันของตลาด – สนับสนุนผู้ผลิตและผู้ให้บริการระบบ BESS

นอกจากนี้ รัฐบาลไทยกำหนดให้ การส่งเสริมพลังงานสะอาด และ การรักษาความมั่นคงด้านพลังงานในประเทศ เป็นวาระสำคัญภายใต้นโยบายพลังงานปี 2025

ที่มา ที่มา

แนวโน้มตลาดและบทบาทในอาเซียน

จากการวิเคราะห์ความน่าสนใจของตลาดระบบกักเก็บพลังงานประเภทแบตเตอรี่ (Battery Energy Storage System : BESS) ใน 5 ประเทศอาเซียน ได้แก่ อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, ไทย และเวียดนาม

โดยประเทศไทยถูกจัดให้อยู่ในตำแหน่งที่สำคัญและมีศักยภาพสูง รัฐบาลไทยได้ตั้งเป้าหมายว่า ภายในปี 2030 (พ.ศ. 2573) การผลิตรถยนต์ในประเทศอย่างน้อย 30% จะต้องเป็น ยานยนต์ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ (Zero Emission Vehicle: ZEV) พร้อมเร่งดึงดูดการลงทุนขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมการผลิตแบตเตอรี่ในประเทศ

ด้านความร่วมมือจากภาคเอกชน บริษัท Sungrow ผู้ผลิตอินเวอร์เตอร์รายใหญ่ของจีน ได้ร่วมมือกับบริษัท Super Energy ผู้ผลิตพลังงานหมุนเวียนของไทย ในการจัดหา โซลูชันครบวงจร (Comprehensive Solution) ที่ประกอบด้วย อินเวอร์เตอร์พลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 49.01MW และ BESS ขนาด 45MW/136.24MWh

โดยโครงการดังกล่าวได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งใน โครงการ BESS ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ที่มา ที่มา

ผู้เล่นหลักในตลาด BESS ประเทศไทย

Delta Electronics Thailand

ให้บริการระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ลิเทียม (Lithium Battery Energy Storage System) ซึ่งมีคุณสมบัติเด่นด้านความหนาแน่นพลังงานสูง (High Energy Density) ระบบจัดการแบตเตอรี่ (Battery Management) และระบบป้องกันความปลอดภัยหลายชั้น

 

ITL Engineering

บริษัทชั้นนำในประเทศไทยด้านระบบกักเก็บพลังงานขนาดใหญ่ (Large-scale ESS) ที่มีประสบการณ์และความสำเร็จในการดำเนินโครงการเชิงพาณิชย์หลายโครงการ

 

Hitachi ABB Power Grids

ให้บริการ BESS และเทคโนโลยีควบคุม (Control Technology) สำหรับโครงการไมโครกริดภาคอุตสาหกรรมขนาด 214MW

ผู้ประกอบการเหล่านี้ต่างนำเสนอผลิตภัณฑ์และโซลูชันที่ สอดคล้องกับมาตรฐานสากลของยุโรป สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น

ที่มา

ที่มา ที่มา

กฎหมายและมาตรการสนับสนุน BESS ในประเทศไทย

<intro>รัฐบาลไทยกำลังเร่งปรับปรุงกระบวนการทางกฎหมาย กฎระเบียบและเพิ่มมาตรการสนับสนุน เพื่อผลักดันการเติบโตของตลาด BESS (Battery Energy Storage System) โดยมีระบบและกลไกสำคัญที่ผู้ประกอบการควรทราบ ดังนี้</intro>

แผนปฏิบัติการการส่งเสริมอุตสาหกรรมระบบกักเก็บพลังงานประเภทแบตเตอรี่ (BESS Action Plan 2023–2032)

แผนปฏิบัติการส่งเสริมอุตสาหกรรมระบบกักเก็บพลังงานประเภทแบตเตอรี่ (BESS Action Plan 2023–2032) ที่ได้รับการอนุมัติจาก สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (EPPO)

นับว่าเป็นยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมเพื่อเร่งการพัฒนาอุตสาหกรรม BESS ในประเทศไทย โดยแผนดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อสร้างแรงจูงใจให้ตลาดผ่านการเพิ่มความต้องการจากภาครัฐ

 มาตรการสำคัญคือการปรับรูปแบบสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Power Purchase Agreement: PPA) จากเดิมที่เป็นแบบ Non-Firm ให้เปลี่ยนไปสู่ Partial Firm หรือ Firm PPA

พร้อมกับการผลักดันให้มีการบูรณาการ BESS เข้ากับโครงการแหล่งผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่มีอยู่เดิม

ที่มา

FiT และ Direct PPA คืออะไร? และ โอกาสการลงทุนในตลาดไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนไทย

หนึ่งในความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดของนโยบายไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนของประเทศไทยในปี 2024 คือการนำสัญญารับซื้อไฟฟ้าตรง Direct PPA (Power Purchase Agreement) มาใช้ ซึ่งทำให้ภาคเอกชนสามารถซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนได้โดยตรง ผ่านโครงข่ายส่งไฟฟ้าที่บริหารจัดการโดยหน่วยงานรัฐ โดยมีปริมาณสูงสุดถึง 2,000MW

สำหรับมาตรการ FiT (Feed-in Tariff: อัตรารับซื้อไฟฟ้าราคาคงที่) มีแผนจะจัดหากำลังผลิตไฟฟ้าเพิ่มเติมรวม 3.67GW ในช่วงปี 2022–2030

โดยแบ่งเป็นแหล่งพลังงานแสงอาทิตย์ 2,632MW พลังงานลม 1,000MW ไบโอแก๊ส 6.5MW และขยะอุตสาหกรรม 30MW 

อย่างไรก็ตาม โครงการที่เป็นการผสานระหว่าง พลังงานแสงอาทิตย์และ BESS (Solar + BESS Hybrid Project) ได้บรรลุเป้าหมายการจัดซื้อเรียบร้อยแล้ว จึงไม่ได้ถูกรวมอยู่ในการจัดสรรเพิ่มเติมครั้งนี้

ที่มา

ขั้นตอนการขออนุญาตและกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับโครงการ BESS

การอนุญาตโครงการ BESS ในประเทศไทยอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (Energy Regulatory Commission: ERC)

โดย ERC มีอำนาจในการปรับเป้าหมายรายปีตาม แผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าแห่งชาติ พ.ศ. 2561–2580 (PDP2018 Rev.1)

ซึ่งจะคำนวณตามปริมาณกำลังผลิตที่เหลืออยู่ในระบบ ผู้ยื่นโครงการจำเป็นต้องยื่น หนังสือแสดงความจำนงเข้าร่วม (Notice of Participation) พร้อมกับวาง เงินค้ำประกันการเสนอราคา (Proposal Guarantee) ในอัตรา 1,000 บาทต่อกิโลวัตต์ (kW)

 

ที่มา

การวิเคราะห์ความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจของการลงทุน BESS: ROI และระยะเวลาคืนทุน

<intro>ความคุ้มค่าของการลงทุนใน ระบบกักเก็บพลังงานประเภทแบตเตอรี่ (Battery Energy Storage System : BESS) ถูกกำหนดโดยสมดุลระหว่าง ผลประหยัดค่าไฟฟ้า กับ ต้นทุนการลงทุนเริ่มต้น ซึ่งสามารถอ้างอิงจากข้อมูลจริงในตลาดประเทศไทยได้</intro>

โครงสร้างต้นทุนการลงทุน BESS ในประเทศไทย

ต้นทุนของ BESS ในตลาดโลกมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ในปี 2024 ตลาดสหรัฐอเมริกามีราคาเฉลี่ยของตู้คอนเทนเนอร์ DC ขนาด 20 ฟุตอยู่ที่ 148 ดอลลาร์สหรัฐ/kWh ลดลง 18% จากปี 2023 ที่ 180 ดอลลาร์สหรัฐ/kWh

ขณะที่ประเทศจีนมีการประมูลในเดือนธันวาคม 2024 ซึ่งได้ราคาต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 66.3 ดอลลาร์สหรัฐ/kWh

องค์ประกอบหลักของต้นทุน BESS ได้แก่:

  • แบตเตอรี่แพ็ค (Battery Pack) ประมาณ 40–50% ของต้นทุนรวม
  • ระบบแปลงพลังงาน (Power Conversion System: PCS)
  • ระบบสมดุลของโครงสร้าง (Balance of System: BOS)
  • ค่าใช้จ่ายด้านการติดตั้งและก่อสร้าง
  • ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและบำรุงรักษาตลอดอายุการใช้งาน 20 ปี


ในตลาดภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การนำ แบตเตอรี่ลิเทียมไอรอนฟอสเฟต (Lithium Iron Phosphate: LFP) มาใช้ ช่วยให้สามารถลดต้นทุนได้มากขึ้น พร้อมทั้งยืดอายุการใช้งานของระบบ

 

ที่มา ที่มา

วิธีการประเมินโมเดลรายได้และระยะเวลาคืนทุน (2–5 ปี)

จากผลการดำเนินงานจริงของโครงการ BESS ขนาด 136MWh ในประเทศไทย พบว่าสามารถทำอัตราการเดินเครื่องเฉลี่ยต่อปีได้ถึง 54.5% และสามารถจ่ายไฟเพื่อรองรับความต้องการสูงสุด (Peak Demand) ได้ประมาณ 13 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งยืนยันถึงศักยภาพในการเป็นแหล่งพลังงานเสริมที่มีความน่าเชื่อถือ

การคำนวณ ระยะเวลาคืนทุน (Payback Period) ของการลงทุน BESS จำเป็นต้องพิจารณาปัจจัยหลัก ได้แก่:

  • ผลประหยัดค่าไฟจากการ ลดความต้องการกำลังไฟฟ้าสูงสุด (Peak Shaving)
  • การลดค่าความต้องการพลังไฟฟ้า (Demand Charge) โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรม
  • การเพิ่มอัตราการใช้พลังงานหมุนเวียนในองค์กร (Self-consumption Rate)
  • รายได้จากการให้บริการเสถียรภาพระบบไฟฟ้า (System Stabilization Service) ซึ่งอาจเกิดขึ้นในอนาคต

ที่มา

ผลประหยัดค่าไฟฟ้าและมาตรการลดค่าความต้องการพลังไฟฟ้า (Demand Charge)

ในโครงสร้างค่าไฟฟ้าของประเทศไทย (ข้อมูลเดือนธันวาคม 2024)

  • ภาคครัวเรือน: 4.293 บาท/หน่วย (0.132 USD/kWh)
  • ภาคธุรกิจ: 4.300 บาท/หน่วย

การติดตั้ง BESS สามารถช่วยให้องค์กรใช้ประโยชน์จาก โครงสร้างอัตราค่าไฟตามช่วงเวลาของการใช้ (Time-of-Use Tariff) เพื่อทำให้ต้นทุนพลังงานโดยรวมลดลง

โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรม ค่าความต้องการพลังไฟฟ้า (Demand Charge) เป็นต้นทุนสำคัญที่ BESS สามารถช่วยลดได้อย่างมาก ผ่านการจ่ายไฟจากแบตเตอรี่ในช่วงความต้องการสูง ทำให้มีการใช้ไฟฟ้าในเวลาที่มีอัตราค่าไฟฟ้าลดลง และช่วยลดค่าไฟฟ้าพื้นฐานรายเดือนลงได้

ที่มา

กรณีศึกษาการนำ BESS มาใช้ในประเทศไทยและปัจจัยแห่งความสำเร็จ

<intro>ประเทศไทยมีโครงการ BESS (Battery Energy Storage System) ขนาดใหญ่หลายโครงการที่เริ่มดำเนินการแล้ว และได้เป็นตัวอย่างสำคัญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต่อไปนี้เป็นกรณีศึกษาการนำมาใช้จริงที่โดดเด่น</intro>

โครงการ BESS ขนาด 45MW/136.24MWh – หนึ่งในโครงการที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

บริษัท Sungrow ผู้ผลิตอินเวอร์เตอร์จากประเทศจีน 

ได้จัดหาโซลูชันครบวงจรให้แก่บริษัท Super Energy ผู้ผลิตพลังงานหมุนเวียนของไทย ซึ่งประกอบด้วยอินเวอร์เตอร์พลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 49.01MW และ BESS ขนาด 45MW/136.24MWh

โครงการนี้ถูกยกย่องว่าเป็นโครงการ BESS เดี่ยวที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

จุดเด่นของโครงการ:

  • ใช้เทคโนโลยีระบายความร้อนด้วยของเหลว (Liquid Cooling) เพื่อลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์และการติดตั้ง
  • ยืดอายุการใช้งานของระบบ
  • มีระดับการป้องกันสูง เหมาะกับสภาพอากาศร้อนชื้นของประเทศไทย
  • ระบบแบบบูรณาการเต็มรูปแบบ พร้อมระบบจัดการพลังงาน (Energy Management System : EMS) และระบบการตรวจสอบ

ประธานบริษัท Super Energy กล่าวถึงโครงการนี้ว่าเป็น

“ก้าวสำคัญของเทคโนโลยีที่จะทำให้พลังงานแสงอาทิตย์สามารถจ่ายไฟฟ้าให้กับประชาชนไทยได้ตลอด 24 ชั่วโมง 365 วัน”

ที่มา

กรณีศึกษา: ไมโครกริดภาคอุตสาหกรรม (214MW)

บริษัท Hitachi ABB Power Grids

ได้จัดหา BESS และเทคโนโลยีควบคุมสำหรับโครงการไมโครกริดอุตสาหกรรมในนิคมอุตสาหกรรมสหะ เมืองศรีราชา บริเวณชายฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศไทย

โครงการนี้รวมถึง:

  • กังหันก๊าซแบบผลิตพลังงานร่วม (Cogeneration)
  • โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาและลอยน้ำ
  • ระบบกักเก็บพลังงานประเภทแบตเตอรี่ (BESS)
  • แพลตฟอร์มควบคุมดิจิทัล e-Mesh

ไมโครกริดดังกล่าวสามารถผสานแหล่งพลังงานที่กระจายตัวต่าง ๆ เข้าด้วยกัน และบริหารจัดการการผลิตไฟฟ้าแบบเรียลไทม์ทั่วนิคมอุตสาหกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ที่มา

การใช้งานระบบไฮบริด Solar + BESS 

ในประเทศไทย การใช้ระบบ Hybrid Solar + BESS กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น บริษัท SCU ได้ออกแบบโซลูชันคอนเทนเนอร์ขนาด 40 ฟุตสำหรับลูกค้าในไทย

โดยมีข้อมูลจำเพาะดังนี้:

  • กำลังผลิต PCS: 250kW
  • โมดูล MPPT: 50kW
  • ความจุแบตเตอรี่ LFP: 230kWh (ตู้แบตเตอรี่ 3 ชุด)
  • สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV Charging Stack) ขนาด 240kW

ระบบนี้สามารถกักเก็บไฟฟ้าที่ผลิตจากโซลาร์ไว้ใน BESS แล้วจ่ายไฟไปยังเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าเมื่อตามต้องการ พร้อมทั้งชาร์จในช่วงที่ค่าไฟฟ้าถูก และปล่อยไฟออกในช่วงที่ค่าไฟฟ้าแพง

ซึ่งช่วยลดต้นทุนการชาร์จไฟฟ้า และทำให้เกิดทั้ง การลดการใช้ไฟฟ้าในช่วงเวลาที่มีความต้องการสูงสุด (Peak Shaving) และ เพิ่มความต้องการใช้ไฟฟ้าในช่วงเวลาที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าตํ่า(Valley Filling)

ที่มา 

ที่มา

การเปรียบเทียบตลาด BESS ของประเทศต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และกลยุทธ์ระดับภูมิภาค

<intro>ตลาด BESS (Battery Energy Storage System) ของแต่ละประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อยู่ในระยะการพัฒนาที่แตกต่างกัน การเข้าใจลักษณะเฉพาะของแต่ละตลาดจึงเป็นปัจจัยสำคัญสู่ความสำเร็จของกลยุทธ์ในภูมิภาคนี้</intro>

กรณีศึกษาความสำเร็จในเวียดนามและฟิลิปปินส์

เวียดนามถือเป็นตลาดไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน โดยมีโครงการนำร่อง BESS แห่งแรกซึ่งพัฒนาร่วมกันโดย Vietnam Electricity (EVN), ธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB), Rocky Mountain Institute (RMI), และสถาบันพลังงานเวียดนาม ภายใต้การสนับสนุนของ GEAPP

ในฟิลิปปินส์ กำลังดำเนินการหนึ่งในโครงการ Solar + BESS ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่มีขนาดกำลังผลิตโซลาร์เซลล์ 3.5GWp ควบคู่กับระบบกักเก็บแบตเตอรี่ 4.5GWh ได้ลงนามสัญญาจัดหาพลังงานระยะยาว 20 ปี (PSA) แล้ว

ที่มา

โอกาสและอุปสรรคในการเข้าสู่ตลาดอินโดนีเซียและมาเลเซีย

ประเทศอินโดนีเซียต้องการการลงทุนราว 62,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี เพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero

โดยมีโครงการ Tembesi Floating Solar Plant ขนาด 60MW ที่ PT Sarana Multi Infrastruktur (PT SMI) และ GEAPP ที่ได้พัฒนาร่วมกัน โดยติดตั้งครอบคลุมพื้นที่เกาะบาตัม การัง และเล็มบัง

ในมาเลเซีย มีโครงการ BESS ขนาด 400MWh ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค

โดยอยู่ในระหว่างก่อสร้างในรัฐซาบาห์ และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน 2030 ซึ่งจะเป็นก้าวสำคัญในการแก้ปัญหาความไม่ต่อเนื่องของพลังงานแสงอาทิตย์

ที่มา

ที่มา

โอกาสทางธุรกิจจากการบูรณาการโครงข่ายไฟฟ้าอาเซียน (ASEAN Power Grid)

อาเซียนกำลังผลักดันการเชื่อมโยงโครงข่ายไฟฟ้าและก๊าซระหว่างประเทศ

โดยมีโครงการสำคัญ เช่น โครงการบูรณาการด้านไฟฟ้าระหว่าง สปป.ลาว ไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ (LTMS-PIP) และ โครงการบูรณาการด้านไฟฟ้าระหว่างบรูไนดารุสซาลาม อินโดนีเซีย  มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ (BIMP-PIP)

โครงการเหล่านี้จะใช้ประโยชน์จากทรัพยากรพลังงานที่หลากหลาย เช่น ศักยภาพพลังงานแสงอาทิตย์ของประเทศอินโดนีเซียสูงสุด 2,900GW พลังน้ำของสปป.ลาว และพลังงานลมนอกชายฝั่งของประเทศเวียดนาม

ทั้งหมดนี้มีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้าง ความมั่นคงด้านพลังงานและความยั่งยืนของภูมิภาค

ที่มา

ความท้าทายและแนวทางแก้ไขในการเข้าสู่ธุรกิจ BESS

<intro>การเข้าสู่ตลาด BESS (Battery Energy Storage System) มีทั้งความท้าทายทางด้านเทคนิคและการเงิน ทั้งนี้สามารถรับมือได้ด้วยกลยุทธ์ที่เหมาะสม  แนวทางแก้ไขเชิงปฏิบัติ ดังนี้</intro>

วิธีลดต้นทุนการลงทุนเริ่มต้นและทางเลือกในการจัดหาเงินทุน

ในตลาด BESS การประหยัดต่อขนาด หรือ Economies of Scale มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง

แนวโน้มการลดต้นทุนที่เห็นได้ชัดในปี 2024 ได้แก่:

  • ราคาของแบตเตอรี่แพ็คในประเทศจีนลดลงมาอยู่ที่ 60–70 ดอลลาร์สหรัฐ/kWh
  • คาดว่าภายในปี 2030 จะลดลงไปถึง 50–60 ดอลลาร์สหรัฐ/kWh
  • การทำให้เป็นมาตรฐานคอนเทนเนอร์ BESS ขนาด 5MWh ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการผลิตและการขนส่ง

ทางด้านการเงิน ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงเงินกู้แบบผ่อนปรน (Concessional Loans) จากสถาบันการเงินระหว่างประเทศ เช่น ธนาคารโลก (World Bank) และ ธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) รวมถึงการใช้ ตราสารหนี้เพื่อสิ่งแวดล้อม (Green Bond) เป็นทางเลือกในการระดมทุน

ที่มา

ที่มา

การพัฒนาบุคลากรด้านเทคนิคและกลยุทธ์ความร่วมมือกับพันธมิตรท้องถิ่น

เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2025  องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) ประจำประเทศไทย ได้จัดเวิร์กช็อปด้าน BESS

โดยมีหน่วยงานพลังงานหลักของไทยเข้าร่วม ได้แก่ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (EPPO), คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (ERC), การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT), การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) และ ศูนย์ เทคโนโลยี พลังงาน แห่ง ชาติ (ENTEC)

หัวข้อสำคัญคือบทบาทของ BESS ต่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้าและการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด

แนวทางการพัฒนาบุคลากรที่มีประสิทธิภาพ ได้แก่:

  • การถ่ายทอดเทคโนโลยีผ่านความร่วมมือกับหน่วยงานพลังงานในประเทศ
  • การเรียนรู้เชิงปฏิบัติผ่านโครงการร่วมกับ EGAT
  • การจัดสัมมนาเชิงเทคนิคโดยผู้เชี่ยวชาญระดับนานาชาติ


ที่มา

การบริหารความเสี่ยง: มาตรการป้องกันภัยธรรมชาติและการใช้ประโยชน์จากประกัน

ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภัยธรรมชาติ เช่น ไต้ฝุ่น มักสร้างความเสี่ยงต่อโครงสร้างพื้นฐานและแผนดำเนินการธุรกิจ

ดังนั้นโครงการ BESS ในประเทศไทยจึงเลือกใช้ระบบที่มีมาตรฐานการป้องกันระดับ IP67 และมีมาตรการป้องกันอัคคีภัยในตัว

อุบัติเหตุด้านความปลอดภัยของ BESS ทั่วโลกลดลงอย่างมาก โดยเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงเพียง 5 กรณี (สหรัฐอเมริกา 3 กรณี ญี่ปุ่น 1 กรณี สิงคโปร์ 1 กรณี) ซึ่งสะท้อนถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการพัฒนามาตรการด้านความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง

ที่มา

ที่มา

คำแนะนำเชิงปฏิบัติในการทำธุรกิจ BESS ให้ประสบความสำเร็จในประเทศไทย

<intro>เพื่อให้ประสบความสำเร็จในตลาดประเทศไทย จำเป็นต้องเข้าใจบริบทท้องถิ่น และสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรในท้องถิ่นอย่างเหมาะสม บทความนี้นำเสนอคำแนะนำเชิงปฏิบัติที่สำคัญ<intro>

5 เกณฑ์สำคัญในการคัดเลือกพันธมิตรท้องถิ่น

ในการเลือกพันธมิตรทางธุรกิจสำหรับโครงการ BESS ในประเทศไทย ควรพิจารณา 5 ปัจจัยดังนี้:

  1. ศักยภาพด้านเทคนิคและผลงานที่ผ่านมา – เช่น Delta Electronics Thailand และ ITL Engineering ซึ่งมีประสบการณ์โครงการระบบกักเก็บพลังงานเชิงพาณิชย์
  2. การปฏิบัติตามมาตรฐานสากล – มีความสามารถในการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่สอดคล้องกับมาตรฐานยุโรป สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น
  3. เครือข่ายในท้องถิ่น – มีความสัมพันธ์กับหน่วยงานด้านพลังงาน เช่น EGAT, PEA และ MEA
  4. ระบบการบำรุงรักษาและการดูแลระยะยาว – มีแผนสนับสนุนระยะยาวสำหรับอายุการใช้งานของระบบมากกว่า 25 ปี
  5. ความมั่นคงทางการเงินและความน่าเชื่อถือ – มีความสามารถในการบริหารโครงการขนาดใหญ่ได้สำเร็จ


ITL Engineering ระบุชัดเจนในการให้บริการว่า “โซลูชัน ESS ที่ปรับแต่งตามความต้องการทางธุรกิจของลูกค้า”

พร้อมให้ความสำคัญกับ “อายุการใช้งาน การรับประกัน และการบำรุงรักษาระบบที่ยาวนานกว่า 25 ปี”

ที่มา

แผนกลยุทธ์โครงการ BESS: ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงการดำเนินงาน

กระบวนการดำเนินโครงการ BESS ในประเทศไทยสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ระยะสำคัญ ได้แก่:

ระยะการวางแผน (6–12 เดือน)

  • การศึกษาความเป็นไปได้ (Feasibility Study)
  • การเตรียมยื่นขออนุญาตต่อคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (ERC) และจัดเตรียมเงินค้ำประกันโครงการ 1,000 บาท/kW
  • การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (กรณีเป็นโครงการประเภท B)

ระยะก่อสร้าง (12–18 เดือน)

  • ตัวอย่างเช่น โครงการกังหันลมและระบบกักเก็บพลังงานในภาคใต้
    ที่แล้วเสร็จในเดือนธันวาคม 2018 และเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2019

ระยะการดำเนินงาน (Operation Stage)

  • การควบคุมและบริหารจัดการผ่านระบบบริหารจัดการพลังงาน  (Energy Management System: EMS)
  • การตรวจสอบและประเมินผลการทำงานเป็นระยะ พร้อมการบำรุงรักษา


ที่มา

แนวโน้มตลาดและโอกาสการขยายธุรกิจหลังปี 2025

นโยบายพลังงานของประเทศไทยในปี 2025 ได้ระบุ เทคโนโลยีใหม่ที่เป็นเป้าหมายสำคัญ ดังนี้:

  • การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการกำกับดูแลด้านพลังงานไฮโดรเจน
  • การเพิ่มปริมาณวัตถุดิบเพื่อการผลิตเชื้อเพลิงการบินยั่งยืน (SAF) ภายในปี 2026
  • การใช้แหล่งน้ำมันเพื่อการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS)
  • การวิจัยร่วมกับญี่ปุ่นในโครงการแหล่งน้ำมัน Arthit (อ่าวไทย)


ในงาน IEEE PES Dinner Talk 2024 หน่วยงานพลังงานหลักของไทย ได้แก่ EGAT, MEA และ PEA ได้รายงานถึงการเตรียมความพร้อมด้านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อรองรับการเพิ่มขึ้นของพลังงานหมุนเวียนในอนาคต

ที่มา

ร่วมเริ่มต้นธุรกิจของคุณกับ เอลโม เทค

นำเสนอโซลูชันลดต้นทุน
เพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจของคุณ

บริการของเราออกแบบมาเพื่อช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงานของคุณ