ประเทศไทยประกาศเป้าหมาย Carbon Neutrality ภายในปี 2050 และ Net Zero Emissions ภายในปี 2065 จึงได้เร่งส่งเสริมพลังงานหมุนเวียนและระบบกักเก็บพลังงานประเภทแบตเตอรี่ (BESS) อย่างจริงจัง
บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (PTT) บริษัทพลังงานชั้นนำของไทย ได้เข้าร่วมเยี่ยมชมศูนย์ทดสอบ BESS ของ BETA+ Thailand เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2025เพื่อดำเนินการคัดเลือกผลิตภัณฑ์ และ ทดสอบการประเมินระบบการกักเก็บพลังงานสำหรับการใช้งานในที่พักอาศัย (Residential Use) และ ภาคพาณิชย์อุตสาหกรรม(Commercial & Industrial Use)
BESS ที่นิยมใช้ในประเทศไทยส่วนใหญ่เป็นแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน (Lithium-ion Battery) โดยเฉพาะแบตเตอรี่ลิเทียมไอรอนฟอสเฟต (Lithium Iron Phosphate: LFP) ที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง แบตเตอรี่ LFP มีคุณสมบัติเด่นคือมีความปลอดภัยสูง สามารถใช้งานได้นานกว่า 3,000 รอบการชาร์จ (Cycles) และมีความเสี่ยงต่อการเกิดความร้อนสูงผิดปกติ (Thermal Runaway) ต่ำ
ในโครงการ BESS ขนาดใหญ่ที่สุดโครงการหนึ่งในประเทศไทย ได้ติดตั้งระบบขนาด 45MW / 136.24MWh และสามารถทำประสิทธิภาพการชาร์จ–จ่ายไฟ Round-trip Efficiency ได้สูงถึง 90.8%
📊 อัตราค่าไฟฟ้าในประเทศไทย (ข้อมูลเดือนธันวาคม 2024):
ภาคครัวเรือน: 4.293 บาท/หน่วย (0.132 USD/kWh)
ภาคธุรกิจ: 4.300 บาท/หน่วย
รัฐบาลไทยได้ผลักดันนโยบายพลังงานอย่างจริงจัง ส่งผลให้ตลาด BESS มีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว และได้รับความสนใจว่าเป็นหนึ่งในตลาดสำคัญของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน(Energy Policy and Planning Office: EPPO) ได้อนุมัติแผนปฏิบัติการการส่งเสริมอุตสาหกรรมระบบกักเก็บพลังงานประเภทแบตเตอรี่ของประเทศไทย ปี 2023–2032 เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2023 แผนปฏิบัติการดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อสร้าง สภาพแวดล้อม (Ecosystem) ของอุตสาหกรรมระบบกักเก็บพลังงานประเภทแบตเตอรี่ และสร้างอุปสงค์ในวงกว้าง โดยมีกลยุทธ์สำคัญ 4 ด้าน ดังนี้
นอกจากนี้ รัฐบาลไทยกำหนดให้ การส่งเสริมพลังงานสะอาด และ การรักษาความมั่นคงด้านพลังงานในประเทศ เป็นวาระสำคัญภายใต้นโยบายพลังงานปี 2025
จากการวิเคราะห์ความน่าสนใจของตลาดระบบกักเก็บพลังงานประเภทแบตเตอรี่ (Battery Energy Storage System : BESS) ใน 5 ประเทศอาเซียน ได้แก่ อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, ไทย และเวียดนาม
โดยประเทศไทยถูกจัดให้อยู่ในตำแหน่งที่สำคัญและมีศักยภาพสูง รัฐบาลไทยได้ตั้งเป้าหมายว่า ภายในปี 2030 (พ.ศ. 2573) การผลิตรถยนต์ในประเทศอย่างน้อย 30% จะต้องเป็น ยานยนต์ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ (Zero Emission Vehicle: ZEV) พร้อมเร่งดึงดูดการลงทุนขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมการผลิตแบตเตอรี่ในประเทศ
ด้านความร่วมมือจากภาคเอกชน บริษัท Sungrow ผู้ผลิตอินเวอร์เตอร์รายใหญ่ของจีน ได้ร่วมมือกับบริษัท Super Energy ผู้ผลิตพลังงานหมุนเวียนของไทย ในการจัดหา โซลูชันครบวงจร (Comprehensive Solution) ที่ประกอบด้วย อินเวอร์เตอร์พลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 49.01MW และ BESS ขนาด 45MW/136.24MWh
โดยโครงการดังกล่าวได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งใน โครงการ BESS ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
Delta Electronics Thailand
ให้บริการระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ลิเทียม (Lithium Battery Energy Storage System) ซึ่งมีคุณสมบัติเด่นด้านความหนาแน่นพลังงานสูง (High Energy Density) ระบบจัดการแบตเตอรี่ (Battery Management) และระบบป้องกันความปลอดภัยหลายชั้น
ITL Engineering
บริษัทชั้นนำในประเทศไทยด้านระบบกักเก็บพลังงานขนาดใหญ่ (Large-scale ESS) ที่มีประสบการณ์และความสำเร็จในการดำเนินโครงการเชิงพาณิชย์หลายโครงการ
Hitachi ABB Power Grids
ให้บริการ BESS และเทคโนโลยีควบคุม (Control Technology) สำหรับโครงการไมโครกริดภาคอุตสาหกรรมขนาด 214MW
ผู้ประกอบการเหล่านี้ต่างนำเสนอผลิตภัณฑ์และโซลูชันที่ สอดคล้องกับมาตรฐานสากลของยุโรป สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น
<intro>รัฐบาลไทยกำลังเร่งปรับปรุงกระบวนการทางกฎหมาย กฎระเบียบและเพิ่มมาตรการสนับสนุน เพื่อผลักดันการเติบโตของตลาด BESS (Battery Energy Storage System) โดยมีระบบและกลไกสำคัญที่ผู้ประกอบการควรทราบ ดังนี้</intro>
แผนปฏิบัติการส่งเสริมอุตสาหกรรมระบบกักเก็บพลังงานประเภทแบตเตอรี่ (BESS Action Plan 2023–2032) ที่ได้รับการอนุมัติจาก สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (EPPO)
นับว่าเป็นยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมเพื่อเร่งการพัฒนาอุตสาหกรรม BESS ในประเทศไทย โดยแผนดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อสร้างแรงจูงใจให้ตลาดผ่านการเพิ่มความต้องการจากภาครัฐ
มาตรการสำคัญคือการปรับรูปแบบสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Power Purchase Agreement: PPA) จากเดิมที่เป็นแบบ Non-Firm ให้เปลี่ยนไปสู่ Partial Firm หรือ Firm PPA
พร้อมกับการผลักดันให้มีการบูรณาการ BESS เข้ากับโครงการแหล่งผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่มีอยู่เดิม
หนึ่งในความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดของนโยบายไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนของประเทศไทยในปี 2024 คือการนำสัญญารับซื้อไฟฟ้าตรง Direct PPA (Power Purchase Agreement) มาใช้ ซึ่งทำให้ภาคเอกชนสามารถซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนได้โดยตรง ผ่านโครงข่ายส่งไฟฟ้าที่บริหารจัดการโดยหน่วยงานรัฐ โดยมีปริมาณสูงสุดถึง 2,000MW
สำหรับมาตรการ FiT (Feed-in Tariff: อัตรารับซื้อไฟฟ้าราคาคงที่) มีแผนจะจัดหากำลังผลิตไฟฟ้าเพิ่มเติมรวม 3.67GW ในช่วงปี 2022–2030
โดยแบ่งเป็นแหล่งพลังงานแสงอาทิตย์ 2,632MW พลังงานลม 1,000MW ไบโอแก๊ส 6.5MW และขยะอุตสาหกรรม 30MW
อย่างไรก็ตาม โครงการที่เป็นการผสานระหว่าง พลังงานแสงอาทิตย์และ BESS (Solar + BESS Hybrid Project) ได้บรรลุเป้าหมายการจัดซื้อเรียบร้อยแล้ว จึงไม่ได้ถูกรวมอยู่ในการจัดสรรเพิ่มเติมครั้งนี้
การอนุญาตโครงการ BESS ในประเทศไทยอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (Energy Regulatory Commission: ERC)
โดย ERC มีอำนาจในการปรับเป้าหมายรายปีตาม แผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าแห่งชาติ พ.ศ. 2561–2580 (PDP2018 Rev.1)
ซึ่งจะคำนวณตามปริมาณกำลังผลิตที่เหลืออยู่ในระบบ ผู้ยื่นโครงการจำเป็นต้องยื่น หนังสือแสดงความจำนงเข้าร่วม (Notice of Participation) พร้อมกับวาง เงินค้ำประกันการเสนอราคา (Proposal Guarantee) ในอัตรา 1,000 บาทต่อกิโลวัตต์ (kW)
<intro>ความคุ้มค่าของการลงทุนใน ระบบกักเก็บพลังงานประเภทแบตเตอรี่ (Battery Energy Storage System : BESS) ถูกกำหนดโดยสมดุลระหว่าง ผลประหยัดค่าไฟฟ้า กับ ต้นทุนการลงทุนเริ่มต้น ซึ่งสามารถอ้างอิงจากข้อมูลจริงในตลาดประเทศไทยได้</intro>
ต้นทุนของ BESS ในตลาดโลกมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ในปี 2024 ตลาดสหรัฐอเมริกามีราคาเฉลี่ยของตู้คอนเทนเนอร์ DC ขนาด 20 ฟุตอยู่ที่ 148 ดอลลาร์สหรัฐ/kWh ลดลง 18% จากปี 2023 ที่ 180 ดอลลาร์สหรัฐ/kWh
ขณะที่ประเทศจีนมีการประมูลในเดือนธันวาคม 2024 ซึ่งได้ราคาต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 66.3 ดอลลาร์สหรัฐ/kWh
องค์ประกอบหลักของต้นทุน BESS ได้แก่:
ในตลาดภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การนำ แบตเตอรี่ลิเทียมไอรอนฟอสเฟต (Lithium Iron Phosphate: LFP) มาใช้ ช่วยให้สามารถลดต้นทุนได้มากขึ้น พร้อมทั้งยืดอายุการใช้งานของระบบ
จากผลการดำเนินงานจริงของโครงการ BESS ขนาด 136MWh ในประเทศไทย พบว่าสามารถทำอัตราการเดินเครื่องเฉลี่ยต่อปีได้ถึง 54.5% และสามารถจ่ายไฟเพื่อรองรับความต้องการสูงสุด (Peak Demand) ได้ประมาณ 13 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งยืนยันถึงศักยภาพในการเป็นแหล่งพลังงานเสริมที่มีความน่าเชื่อถือ
การคำนวณ ระยะเวลาคืนทุน (Payback Period) ของการลงทุน BESS จำเป็นต้องพิจารณาปัจจัยหลัก ได้แก่:
ในโครงสร้างค่าไฟฟ้าของประเทศไทย (ข้อมูลเดือนธันวาคม 2024)
การติดตั้ง BESS สามารถช่วยให้องค์กรใช้ประโยชน์จาก โครงสร้างอัตราค่าไฟตามช่วงเวลาของการใช้ (Time-of-Use Tariff) เพื่อทำให้ต้นทุนพลังงานโดยรวมลดลง
โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรม ค่าความต้องการพลังไฟฟ้า (Demand Charge) เป็นต้นทุนสำคัญที่ BESS สามารถช่วยลดได้อย่างมาก ผ่านการจ่ายไฟจากแบตเตอรี่ในช่วงความต้องการสูง ทำให้มีการใช้ไฟฟ้าในเวลาที่มีอัตราค่าไฟฟ้าลดลง และช่วยลดค่าไฟฟ้าพื้นฐานรายเดือนลงได้
<intro>ประเทศไทยมีโครงการ BESS (Battery Energy Storage System) ขนาดใหญ่หลายโครงการที่เริ่มดำเนินการแล้ว และได้เป็นตัวอย่างสำคัญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต่อไปนี้เป็นกรณีศึกษาการนำมาใช้จริงที่โดดเด่น</intro>
บริษัท Sungrow ผู้ผลิตอินเวอร์เตอร์จากประเทศจีน
ได้จัดหาโซลูชันครบวงจรให้แก่บริษัท Super Energy ผู้ผลิตพลังงานหมุนเวียนของไทย ซึ่งประกอบด้วยอินเวอร์เตอร์พลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 49.01MW และ BESS ขนาด 45MW/136.24MWh
โครงการนี้ถูกยกย่องว่าเป็นโครงการ BESS เดี่ยวที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
จุดเด่นของโครงการ:
ประธานบริษัท Super Energy กล่าวถึงโครงการนี้ว่าเป็น
“ก้าวสำคัญของเทคโนโลยีที่จะทำให้พลังงานแสงอาทิตย์สามารถจ่ายไฟฟ้าให้กับประชาชนไทยได้ตลอด 24 ชั่วโมง 365 วัน”
บริษัท Hitachi ABB Power Grids
ได้จัดหา BESS และเทคโนโลยีควบคุมสำหรับโครงการไมโครกริดอุตสาหกรรมในนิคมอุตสาหกรรมสหะ เมืองศรีราชา บริเวณชายฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศไทย
โครงการนี้รวมถึง:
ไมโครกริดดังกล่าวสามารถผสานแหล่งพลังงานที่กระจายตัวต่าง ๆ เข้าด้วยกัน และบริหารจัดการการผลิตไฟฟ้าแบบเรียลไทม์ทั่วนิคมอุตสาหกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในประเทศไทย การใช้ระบบ Hybrid Solar + BESS กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น บริษัท SCU ได้ออกแบบโซลูชันคอนเทนเนอร์ขนาด 40 ฟุตสำหรับลูกค้าในไทย
โดยมีข้อมูลจำเพาะดังนี้:
ระบบนี้สามารถกักเก็บไฟฟ้าที่ผลิตจากโซลาร์ไว้ใน BESS แล้วจ่ายไฟไปยังเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าเมื่อตามต้องการ พร้อมทั้งชาร์จในช่วงที่ค่าไฟฟ้าถูก และปล่อยไฟออกในช่วงที่ค่าไฟฟ้าแพง
ซึ่งช่วยลดต้นทุนการชาร์จไฟฟ้า และทำให้เกิดทั้ง การลดการใช้ไฟฟ้าในช่วงเวลาที่มีความต้องการสูงสุด (Peak Shaving) และ เพิ่มความต้องการใช้ไฟฟ้าในช่วงเวลาที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าตํ่า(Valley Filling)
<intro>ตลาด BESS (Battery Energy Storage System) ของแต่ละประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อยู่ในระยะการพัฒนาที่แตกต่างกัน การเข้าใจลักษณะเฉพาะของแต่ละตลาดจึงเป็นปัจจัยสำคัญสู่ความสำเร็จของกลยุทธ์ในภูมิภาคนี้</intro>
เวียดนามถือเป็นตลาดไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน โดยมีโครงการนำร่อง BESS แห่งแรกซึ่งพัฒนาร่วมกันโดย Vietnam Electricity (EVN), ธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB), Rocky Mountain Institute (RMI), และสถาบันพลังงานเวียดนาม ภายใต้การสนับสนุนของ GEAPP
ในฟิลิปปินส์ กำลังดำเนินการหนึ่งในโครงการ Solar + BESS ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่มีขนาดกำลังผลิตโซลาร์เซลล์ 3.5GWp ควบคู่กับระบบกักเก็บแบตเตอรี่ 4.5GWh ได้ลงนามสัญญาจัดหาพลังงานระยะยาว 20 ปี (PSA) แล้ว
ประเทศอินโดนีเซียต้องการการลงทุนราว 62,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี เพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero
โดยมีโครงการ Tembesi Floating Solar Plant ขนาด 60MW ที่ PT Sarana Multi Infrastruktur (PT SMI) และ GEAPP ที่ได้พัฒนาร่วมกัน โดยติดตั้งครอบคลุมพื้นที่เกาะบาตัม การัง และเล็มบัง
ในมาเลเซีย มีโครงการ BESS ขนาด 400MWh ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค
โดยอยู่ในระหว่างก่อสร้างในรัฐซาบาห์ และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน 2030 ซึ่งจะเป็นก้าวสำคัญในการแก้ปัญหาความไม่ต่อเนื่องของพลังงานแสงอาทิตย์
อาเซียนกำลังผลักดันการเชื่อมโยงโครงข่ายไฟฟ้าและก๊าซระหว่างประเทศ
โดยมีโครงการสำคัญ เช่น โครงการบูรณาการด้านไฟฟ้าระหว่าง สปป.ลาว ไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ (LTMS-PIP) และ โครงการบูรณาการด้านไฟฟ้าระหว่างบรูไนดารุสซาลาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ (BIMP-PIP)
โครงการเหล่านี้จะใช้ประโยชน์จากทรัพยากรพลังงานที่หลากหลาย เช่น ศักยภาพพลังงานแสงอาทิตย์ของประเทศอินโดนีเซียสูงสุด 2,900GW พลังน้ำของสปป.ลาว และพลังงานลมนอกชายฝั่งของประเทศเวียดนาม
ทั้งหมดนี้มีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้าง ความมั่นคงด้านพลังงานและความยั่งยืนของภูมิภาค
<intro>การเข้าสู่ตลาด BESS (Battery Energy Storage System) มีทั้งความท้าทายทางด้านเทคนิคและการเงิน ทั้งนี้สามารถรับมือได้ด้วยกลยุทธ์ที่เหมาะสม แนวทางแก้ไขเชิงปฏิบัติ ดังนี้</intro>
ในตลาด BESS การประหยัดต่อขนาด หรือ Economies of Scale มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง
แนวโน้มการลดต้นทุนที่เห็นได้ชัดในปี 2024 ได้แก่:
ทางด้านการเงิน ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงเงินกู้แบบผ่อนปรน (Concessional Loans) จากสถาบันการเงินระหว่างประเทศ เช่น ธนาคารโลก (World Bank) และ ธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) รวมถึงการใช้ ตราสารหนี้เพื่อสิ่งแวดล้อม (Green Bond) เป็นทางเลือกในการระดมทุน
เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2025 องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) ประจำประเทศไทย ได้จัดเวิร์กช็อปด้าน BESS
โดยมีหน่วยงานพลังงานหลักของไทยเข้าร่วม ได้แก่ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (EPPO), คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (ERC), การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT), การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) และ ศูนย์ เทคโนโลยี พลังงาน แห่ง ชาติ (ENTEC)
หัวข้อสำคัญคือบทบาทของ BESS ต่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้าและการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด
แนวทางการพัฒนาบุคลากรที่มีประสิทธิภาพ ได้แก่:
ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภัยธรรมชาติ เช่น ไต้ฝุ่น มักสร้างความเสี่ยงต่อโครงสร้างพื้นฐานและแผนดำเนินการธุรกิจ
ดังนั้นโครงการ BESS ในประเทศไทยจึงเลือกใช้ระบบที่มีมาตรฐานการป้องกันระดับ IP67 และมีมาตรการป้องกันอัคคีภัยในตัว
อุบัติเหตุด้านความปลอดภัยของ BESS ทั่วโลกลดลงอย่างมาก โดยเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงเพียง 5 กรณี (สหรัฐอเมริกา 3 กรณี ญี่ปุ่น 1 กรณี สิงคโปร์ 1 กรณี) ซึ่งสะท้อนถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการพัฒนามาตรการด้านความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง
<intro>เพื่อให้ประสบความสำเร็จในตลาดประเทศไทย จำเป็นต้องเข้าใจบริบทท้องถิ่น และสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรในท้องถิ่นอย่างเหมาะสม บทความนี้นำเสนอคำแนะนำเชิงปฏิบัติที่สำคัญ<intro>
ในการเลือกพันธมิตรทางธุรกิจสำหรับโครงการ BESS ในประเทศไทย ควรพิจารณา 5 ปัจจัยดังนี้:
ITL Engineering ระบุชัดเจนในการให้บริการว่า “โซลูชัน ESS ที่ปรับแต่งตามความต้องการทางธุรกิจของลูกค้า”
พร้อมให้ความสำคัญกับ “อายุการใช้งาน การรับประกัน และการบำรุงรักษาระบบที่ยาวนานกว่า 25 ปี”
กระบวนการดำเนินโครงการ BESS ในประเทศไทยสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ระยะสำคัญ ได้แก่:
ระยะการวางแผน (6–12 เดือน)
ระยะก่อสร้าง (12–18 เดือน)
ระยะการดำเนินงาน (Operation Stage)
นโยบายพลังงานของประเทศไทยในปี 2025 ได้ระบุ เทคโนโลยีใหม่ที่เป็นเป้าหมายสำคัญ ดังนี้:
ในงาน IEEE PES Dinner Talk 2024 หน่วยงานพลังงานหลักของไทย ได้แก่ EGAT, MEA และ PEA ได้รายงานถึงการเตรียมความพร้อมด้านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อรองรับการเพิ่มขึ้นของพลังงานหมุนเวียนในอนาคต