คู่มือสำหรับภาคการผลิต! การใช้งาน BESS และ UPS อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมข้อมูลงินอุดหนุน(รวมข้อมูลเงินอุดหนุน)

ในภาคการผลิตนั้น การป้องกันไฟดับและการลดต้นทุนพลังงานถือเป็นประเด็นสำคัญทางธุรกิจ ระบบกักเก็บพลังงานประเภทแบตเตอรี่ (BESS) และเครื่องสำรองไฟฟ้า (UPS) มีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน และจำเป็นต้องเลือกใช้ให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ บทความนี้จะนำเสนอข้อมูลเชิงปฏิบัติ ตั้งแต่ความแตกต่างทางเทคนิค ผลการนำไปใช้ ไปจนถึงวิธีการเลือกระบบที่เหมาะสม

 ความแตกต่างระหว่างระบบกักเก็บพลังงานประเภทแบตเตอรี่( BESS) และเครื่องสำรองไฟฟ้า (UPS): คู่มือการเลือกใช้ในภาคการผลิต

BESS และ UPS แม้จะมีจุดร่วมในการสำรองไฟฟ้า แต่วัตถุประสงค์และการทำงานนั้นแตกต่างกันอย่างมาก การเข้าใจความแตกต่างพื้นฐานเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญต่อการเลือกได้อย่างเหมาะสมในโรงงาน

ความแตกต่างพื้นฐานระหว่าง BESS และ UPS |ตารางเปรียบเทียบ

ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดที่สุดคือ **วัตถุประสงค์หลักในการใช้งาน** 

BESS (Battery Energy Storage System)

ระบบกักเก็บพลังงานประเภทแบตเตอรี่ จะเก็บไฟจากโครงข่ายหรือพลังงานหมุนเวียน เพื่อนำมาใช้ภายหลัง เน้นการจัดการพลังงานและลดค่าไฟฟ้า 

UPS (Uninterruptible Power Supply)

เครื่องสำรองไฟฟ้า จะจ่ายไฟฟ้าสำรองทันทีเมื่อมีปัญหาทางไฟฟ้า เช่น ไฟตก ไฟฟ้าดับ ไฟกระชาก หรือความขัดข้องทางไฟฟ้าอื่นๆ เพื่อปกป้องอุปกรณ์สำคัญไม่ให้หยุดทำงาน และป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นต่อเครื่องใช้ไฟฟ้าได้

ที่มา

 ที่มา

 

การประยุกต์ใช้ BESS ในภาคการผลิต |การสำรองไฟระยะยาวและสร้างรายได้

ในภาคการผลิต BESS ไม่ได้ถูกมองว่าเป็นเพียงแค่การป้องกันไฟฟ้าดับทั่วไป แต่ถูกจัดให้อยู่ในฐานะ <b>การลงทุนเชิงกลยุทธ์</b> 

BESS ใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยของแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน (Lithium-ion) และสามารถบูรณาการเข้ากับแหล่งพลังงานหมุนเวียนได้ โดยกักเก็บพลังงานไว้ในแบตเตอรี่และจ่ายไฟเมื่อมีความต้องการ เพื่อรักษาเสถียรภาพของระบบไฟฟ้า

<b>ตัวอย่างการใช้งานหลักของ BESS</b> 

  • Peak Cut: การลดค่าความต้องการพลังไฟฟ้า (Demand Charge) ได้ 10–30% 
  • Energy Arbitrage: เก็บไฟราคาถูกในเวลากลางคืน ใช้ในช่วงเวลาพีคของกลางวัน
  • Long Backup: รับมือกับไฟดับได้นาน 4-8 ชั่วโมง
  • Integration with Renewable Energy: ใช้ร่วมกับโซลาร์เซลล์ เพิ่มอัตราการพึ่งตนเองด้านพลังงาน
  • การขายไฟ (Sell Power): ในประเทศญี่ปุ่น มีสัญญาระยะยาวจากภาครัฐ ประกันรายได้เป็นระยะเวลา 20 ปี

ที่มา ที่มา

 ทำไมโรงงานอุตสาหกรรมต้องใช้ UPS |การป้องกันไฟตกชั่วขณะและคุ้มครองอุปกรณ์สำคัญ

UPS หรือเครื่องสำรองไฟฟ้าทำหน้าที่เป็น **ด่านป้องกันที่สำคัญ** ช่วยคุ้มครองอุปกรณ์และระบบสำคัญในโรงงานอุตสาหกรรมจากปัญหาไฟดับ ไฟตก หรือไฟกระพริบที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด 

โดยทั่วไป UPS มักใช้แบตเตอรี่ตะกั่วกรด (Lead-Acid) ซึ่งถูกนำมาใช้งานด้านการกักเก็บพลังงานมานานกว่า 150 ปี มีจุดเด่นคือ **ทนทาน ราคาคุ้มค่า และเชื่อถือได้** ทำให้ยังคงได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในภาคการผลิตและโรงงานอุตสาหกรรม  

โดยเฉพาะในสายการผลิตของโรงงาน แม้ไฟดับเพียงไม่กี่วินาทีก็อาจสร้างความเสียหายมหาศาลต่อเครื่องจักรและการผลิตได้ 

ดังนั้น **UPS จึงเป็นอุปกรณ์จำเป็นอย่างยิ่งในการปกป้องอุปกรณ์สำคัญและรักษาความต่อเนื่องของการผลิต**

<b>อุปกรณ์และระบบในโรงงานที่จำเป็นต้องมี UPS</b> 

  • ระบบควบคุม: PLC, SCADA, DCS 
  • อุปกรณ์ตรวจสอบคุณภาพ: เครื่องมือวัด อุปกรณ์ตรวจสอบ เครื่องวิเคราะห์
  • เซิร์ฟเวอร์ข้อมูล: ระบบจัดการการผลิต ฐานข้อมูลคุณภาพ
  • ระบบความปลอดภัย: Emergency Stop, กล้องวงจรปิด, ระบบสัญญาณเตือน 
  • เครื่องจักรความละเอียดสูง: อุปกรณ์ผลิตเซมิคอนดักเตอร์, เครื่องจักรแม่พิมพ์ความแม่นยำสูง 

ที่มา

ผลลัพธ์จากการนำ BESS มาใช้ในภาคการผลิต |ข้อมูลจริงด้านการลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน

BESS ไม่ได้เป็นเพียงเทคโนโลยีใหม่ แต่เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้โรงงานอุตสาหกรรมเห็นผลลัพธ์เชิงตัวเลขที่ชัดเจน ทั้งด้านการลดค่าไฟและการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต บทความนี้อ้างอิงกรณีศึกษาในและต่างประเทศ เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจผลลัพธ์อย่างชัดเจน

ประสิทธิภาพการลดต้นทุนพลังงาน |ลดค่าไฟฟ้าได้ 10–30%

ข้อได้เปรียบหลักของการติดตั้ง BESS ในโรงงานคือ **การลดต้นทุนพลังงานที่แน่นอน** 

ตัวอย่างในอุตสาหกรรมเหล็ก สามารถลดต้นทุนกระบวนการผลิตได้ประมาณ 10% โดยยอดประหยัดรวมต่อปีเกิน 1 ล้านยูโร

**ผลลัพธ์ที่วัดได้จริง** 

  • Peak Cut: ลดความต้องการไฟฟ้าสูงสุดได้ 20-30%
  • ค่าไฟฟ้ารวม: ลดต้นทุนไฟฟ้าประจำปีได้ 10-25%
  • ค่าความต้องการพลังไฟฟ้า: ลดค่าไฟฟ้าพื้นฐานรายเดือนได้ 15-30%
  • ค่าไฟตามช่วงเวลาของการใช้ (Time-of-Use): ใช้ไฟฟ้าราคาถูกในเวลากลางคืนแทนกลางวัน ลดส่วนต่างได้ 30–40% 

 

ที่มา

เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต |ลดการหยุดชะงักของงานและเพิ่มเสถียรภาพของคุณภาพสินค้า

การสำรองไฟระยะยาวด้วย BESS ช่วยให้ **โรงงานสามารถเดินเครื่องได้อย่างต่อเนื่องแม้เกิดไฟดับ** ด้วยการสำรองพลังงานยาวนานและจ่ายไฟเต็มกำลังภายใน 10 วินาที 

หลายโครงการยังคงอัตราการทำงาน ทำได้ถึงระดับสูงสุด 99.9% ลดความเสียหายจากการหยุดเดินเครื่องที่ไม่คาดคิด 

**ผลลัพธ์ที่วัดได้จริง** 

  • ลดช่วงเวลาที่ระบบไฟฟ้าขัดข้อง (Downtime): ลดเวลาหยุดการผลิตต่อปี มากกว่า90%
  • รอบการผลิต (Cycle Time): ลดลงได้ 40% 
  • ลดอัตราสินค้าชำรุด: คุณภาพไฟฟ้าที่เสถียรมากขึ้น ลดอัตราสินค้าชำรุดได้ 30% 
  • อัตราการทำงานของเครื่องจักร: เพิ่มจาก 95% เป็น 99.9%

 

ที่มา

กรณีศึกษา |ตัวอย่างความสำเร็จในการผลิตทั้งในและต่างประเทศ

ในประเทศญี่ปุ่น มีโครงการ **Kansai Electric Tanagawachi Storage (99MW/396MWh)**  ซึ่งถือเป็นหนึ่งในโครงการสถานีกักเก็บพลังงานที่สำคัญ 

นอกจากนี้ **TotalEnergies** ได้ติดตั้ง BESS รวมกำลังการผลิตกว่า 129MW ในโรงงานหลายแห่งในฝรั่งเศส เบลเยียม และเยอรมนี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพพลังงานในฐานการผลิตทั้งหมด 

**ตัวอย่างประเภทโรงงานที่นำ BESS ไปใช้แล้ว** 

  • อุตสาหกรรมยานยนต์: Tesla Gigafactory (BESS ขนาด 130MW แบบ Standalone
  • อุตสาหกรรมเคมี: รองรับกระบวนการผลิตต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง 
  • อุตสาหกรรมอาหาร: เพิ่มความเสถียรของระบบแช่แข็ง-แช่เย็น
  • การผลิตเซมิคอนดักเตอร์: การผลิตในห้อง Clean Room ได้อย่างต่อเนื่องไม่สะดุด 

ที่มา ที่มา

 

ปัจจัยสำคัญในการพิจารณา BESS ไปใช้|ตั้งแต่การคำนวณกำลังไฟจนถึงเงื่อนไขการติดตั้ง

เพื่อให้การนำ BESS ไปใช้ประสบความสำเร็จ จำเป็นต้องมีการออกแบบความจุที่เหมาะสม และพิจารณาเงื่อนไขการติดตั้งอย่างรอบด้าน บทความนี้นำเสนอแนวทางเชิงปฏิบัติที่สอดคล้องกับความต้องการเฉพาะของภาคการผลิต

 

วิธีคำนวณความจุที่ต้องการ |ตัวอย่างการคำนวณจริงสำหรับภาคการผลิต

การคำนวณขนาดความจุของ BESS จำเป็นต้องอ้างอิงตามวัตถุประสงค์การใช้งาน ซึ่งแต่ละกรณีอาจมีแนวทางต่างกัน 

สูตรพื้นฐานในการคำนวณคือ: 

**ความจุแบตเตอรี่ (Ah) = (กระแสโหลด × ระยะเวลาการทำงาน) ÷ (ความลึกของการคายประจุ Depth of Discharge × ประสิทธิภาพ Efficiency)** 

 

**ตัวอย่างการคำนวณสำหรับโรงงานอุตสาหกรรม** 

 

 

【การใช้งานสำหรับ Peak Cut】 

สูตรคำนวณความจุที่ต้องการ =  (ความต้องการพลังงานสูงสุด (Peak Demand) – โหลดฐาน (Base Load)) × ระยะเวลาช่วงพีค ÷ ประสิทธิภาพรวมของระบบ (System Efficiency)

ตัวอย่าง: การลดพีค 2MW เป็นเวลา 4 ชั่วโมง
  ความจุที่ต้องการ = (2MW × 4 ชั่วโมง) ÷ (0.8 × 0.9) = 11.1MWh

【การใช้งานสำหรับสำรองไฟกรณีไฟดับ】 

สูตรคำนวณความจุที่ต้องการ = โหลดวิกฤติ (Critical Load) × ระยะเวลาสำรองไฟ × ค่า Safety Factor ÷ ประสิทธิภาพรวมของระบบ

ตัวอย่าง: Backup โหลดวิกฤติ 500kW เป็นเวลา 8 ชั่วโมง
  ความจุที่ต้องการ = (500kW × 8 ชั่วโมง × 1.2) ÷ 0.85 = 5.6MWh

ที่มา

เงื่อนไขสถานที่ติดตั้ง |เช็กลิสต์สำหรับโรงงาน

การติดตั้ง BESS จำเป็นต้องคำนึงถึงการเลือกสถานที่ที่เหมาะสม โดยทั่วไปต้องใช้พื้นที่ประมาณ 0.5–1 เอเคอร์ ต่อความจุ 10MWh ดังนั้นควรตรวจสอบความเป็นไปได้ในการติดตั้งภายในโรงงานล่วงหน้า

 

เงื่อนไขที่จำเป็นในการติดตั้ง

  • พื้นที่ (Space Requirement): ประมาณ 2,000–4,000 ตร.ม. ต่อ 10MWh
  • งานฐานราก (Foundation): ฐานคอนกรีตที่มีความสามารถรับน้ำหนักได้ไม่น้อยกว่า 200 กก./ตร.ม.
  • ทางเข้า–ออก (Access Road): กว้างไม่น้อยกว่า6 เมตร เพื่อรองรับรถบรรทุกขนส่งตู้คอนเทนเนอร์
  • ระบบไฟฟ้า (Electrical Connection): อยู่ใกล้กับระบบรับไฟฟ้าแรงสูง (แนะนำ ไม่เกิน 100 เมตร)
  • ระยะปลอดภัย (Safety Clearance): ห่างจากอาคารอย่างน้อย 3 เมตร และห่างจากเขตที่ดิน 10 เมตร
  • ระบบดับเพลิง (Fire Safety): อยู่ใกล้จุดติดตั้งหัวจ่ายน้ำดับเพลิง (Hydrant) ไม่เกิน 50 เมตร และมีทางสำหรับรถดับเพลิงเข้าถึงได้

 

ที่มา 

ที่มา

แนวทางการบำรุงรักษา |แผนดูแลเพื่อการใช้งานระยะยาว

BESS จำเป็นต้องได้รับการบำรุงรักษาอย่างเหมาะสมเพื่อคงประสิทธิภาพและยืดอายุการใช้งาน โดยแม้ว่าแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนจะมีอายุการใช้งาน 4,000–10,000 รอบการชาร์จ/ใช้งาน แต่การดูแลที่เป็นระบบสามารถช่วยยืดระยะเวลาและเพิ่มความเสถียรได้

แผนการบำรุงรักษา

**การบำรุงรักษาประจำเดือน** 

  • ตรวจสอบด้วยสายตา (เสียงผิดปกติ การสั่นสะเทือน ความร้อนสะสม) 
  • ตรวจวัดอุณหภูมิและความชื้น 
  • บันทึกค่ากระแสไฟฟ้าและแรงดัน 

**การบำรุงรักษารายไตรมาส** 

  • การสอบเทียบ BMS (Battery Management System) 
  • ตรวจสอบแรงบิดของจุดเชื่อมต่อ 
  • ตรวจวัดค่าความต้านทานฉนวน 

**การบำรุงรักษารายปี** 

  • การทดสอบความจุแบตเตอรี่ (Discharge Test) 
  • ตรวจวิเคราะห์การเสื่อมของโมดูลแบตเตอรี่ 
  • ตรวจสอบประสิทธิภาพระบบระบายความร้อน 
  • ทดสอบการทำงานของระบบดับเพลิง 

 

ที่มา

【ประเทศญี่ปุ่น】ข้อมูลล่าสุดในปี 2025 |มาตรการสนับสนุนการติดตั้ง BESS สำหรับภาคการผลิต

รัฐบาลญี่ปุ่นและหน่วยงานท้องถิ่นให้การสนับสนุนการติดตั้ง BESS อย่างจริงจัง ช่วยลดภาระการลงทุนเริ่มต้นของการติดตั้ง BESS ได้อย่างมาก บทความนี้สรุปข้อมูลโครงการล่าสุดในปี 2025 เกี่ยวกับงินอุดหนุนและข้อควรทราบในการยื่นขอ

 

โครงการสนับสนุนจากภาครัฐ |สนับสนุนค่าลงทุนสูงสุด 50%

กระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น (METI) ร่วมกับ องค์การพัฒนาพลังงานใหม่และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม (NEDO) ได้ออกมาตรการสนับสนุนอย่างครอบคลุม 

โดย กองทุน Green Innovation มีวงเงินรวมกว่า 2 ล้านล้านเยน เพื่อส่งเสริมโครงการ BESS ขนาดใหญ่ และสนับสนุนการติดตั้งในภาคการผลิต

 

มาตรการสำคัญ (ปีงบประมาณ 2025)

 กองทุน Green Innovation

  • กลุ่มเป้าหมาย: โครงการ BESS ขนาดใหญ่ตั้งแต่ 10MW ขึ้นไป
  • อัตราสนับสนุน: ให้การสนับสนุนสูงสุด 50% ของค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างสูงสุด 50% ของค่าใช้จ่ายในการก่อสร้าง 
  • วงเงินสูงสุด: ไม่เกิน 5 พันล้านเยนต่อโครงการ 

โครงการสนับสนุนการติดตั้ง Solar + BESS โดยผู้ใช้ไฟฟ้า

  • กลุ่มเป้าหมาย: โครงการติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ควบคู่กับ BESS 
  • อัตราสนับสนุน: สนับสนุน 1/3 ของมูลค่าอุปกรณ์ 
  • วงเงินสูงสุด: ไม่เกิน 300 ล้านเยนต่อโครงการ 

 

โครงการส่งเสริมการลงทุนด้านการประหยัดพลังงาน

  • กลุ่มเป้าหมาย: โรงงานและสถานประกอบการที่ต้องการติดตั้งหรือปรับปรุงระบบ BESS
  • อัตราสนับสนุน: กิจการขนาดกลางและขนาดเล็ก (SME) ได้รับการสนับสนุน 1/3 ของค่าใช้จ่าย ส่วนบริษัทขนาดใหญ่ได้รับ 1/4 
  • เงื่อนไข: ต้องแสดงให้เห็นว่ามีการประหยัดพลังงานได้อย่างน้อย 5% 

ที่มา ที่มา

โครงการสนับสนุนจากองค์กรปกครองท้องถิ่น |เงินอุดหนุนเพิ่มเติมจาก Tokyo และ Osaka

ในประเทศญี่ปุ่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหลายแห่งได้ออกมาตรการสนับสนุนเพิ่มเติมของตนเอง ซึ่งส่วนใหญ่สามารถใช้ร่วมกับงินอุดหนุนจากรัฐบาลกลางได้

โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีโรงงานอุตสาหกรรมจำนวนมาก ผู้ประกอบการจะได้รับสิทธิประโยชน์ที่ครอบคลุมและเอื้อต่อการลงทุนมากยิ่งขึ้น

Tokyo

  • สนับสนุนสูงสุด 50 ล้านเยน สำหรับ BESS ขนาด 1MW ขึ้นไป 
  • สำหรับ SME ได้รับการสนับสนุนสูงถึง2/3 
  • ช่วงเวลาสมัคร: เมษายน – มิถุนายน 2025

 

Osaka

  • โครงการสนับสนุนการติดตั้งอุปกรณ์ประหยัดพลังงานและผลิตพลังงาน (省エネ・創エネ) 
  • อัตราสนับสนุน 1/3 ของค่าอุปกรณ์ (สูงสุด 30 ล้านเยน) 
  • เพิ่มอีก 10% หากมีการใช้เพื่อ BCP (แผนรองรับเหตุการณ์ฉุกเฉิน)

Aichi

  • โครงการสนับสนุนการติดตั้งอุปกรณ์พลังงานใหม่ 
  • อัตราสนับสนุน 1/4 ของค่าอุปกรณ์ (สูงสุด 20 ล้านเยน) 
  • มีมาตรการสนับสนุนเพิ่มเติมสำหรับภาคการผลิต

 

เคล็ดลับและข้อควรระวังในการสมัครขอรับเงินอุดหนุน |กลยุทธ์เพิ่มโอกาสการได้รับอนุมัติ

การเพิ่มโอกาสให้โครงการได้รับการอนุมัติเงินอุดหนุน จำเป็นต้องมีการเตรียมการเชิงกลยุทธ์ 

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความชัดเจนของแผนธุรกิจและความเป็นไปได้ในการดำเนินงาน ถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญในการประเมินผล

ปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้การสมัครขอรับเงินอุดหนุน ให้ประสบความสำเร็จ

การเตรียมการล่วงหน้า (3–6 เดือนก่อนสมัคร)

  • เก็บรวบรวมข้อมูลการใช้พลังงานปัจจุบันอย่างละเอียด 
  • ตรวจสอบสถานที่ติดตั้งล่วงหน้า 
  • ขอใบเสนอราคาจากผู้ผลิตหลายราย

เทคนิคการเขียนใบสมัคร

  • ระบุผลการลดการปล่อย CO₂ เป็นตัวเลขที่ชัดเจน 
  • แสดงแผนการคืนทุนของโครงการอย่างโปร่งใส 
  • เน้นย้ำถึงประโยชน์ที่โครงการจะสร้างให้กับชุมชนท้องถิ่น

สาเหตุที่พบบ่อยในการไม่ได้รับการอนุมัติ

  • ขาดหลักฐานเชิงตัวเลขด้านความคุ้มค่าในการลงทุน 
  • ขาดคำอธิบายด้านความเป็นไปได้ทางเทคนิค 
  • ไม่มีแผนการบำรุงรักษาที่ชัดเจน

ที่มา

ที่มา

 ที่มา

ทิศทางตลาดและแนวโน้มเทคโนโลยี |เทรนด์ล่าสุดที่ภาคการผลิตควรรู้

ตลาด BESS กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว และด้วยนวัตกรรมเทคโนโลยี คาดว่าจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนได้มากยิ่งขึ้น บทความนี้นำเสนอข้อมูลด้านตลาดและเทคโนโลยีที่ภาคการผลิตควรใช้ประกอบการวางกลยุทธ์ระยะยาว

 

การเติบโตของตลาด BESS |คาดว่าจะขยายตัว 3 เท่าภายในปี 2030

ตลาด BESS ทั่วโลกยังคงเติบโตอย่างก้าวกระโดด ปี 2024 มีกำลังการติดตั้งรวมสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 205GWh เพิ่มขึ้น 53% จากปีก่อนหน้า และคาดว่าจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 26.9% ขยายเป็นตลาดมูลค่า 35.6 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2029

 

ปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนการเติบโต

  • การขยายตัวของพลังงานหมุนเวียน: ญี่ปุ่นตั้งเป้า 36–38% ภายในปี 2030 
  • การปฏิรูปตลาดไฟฟ้า: ระบบ FIP เชื่อมโยงกับราคาตลาด 
  • นโยบายลดการปล่อยคาร์บอน: เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ปี 2050 
  • ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี: ต้นทุนลดลงและประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 

 

แนวโน้มตลาดญี่ปุ่น

  • ปี 2023: 717.6 พันล้านเยน 
  • ปี 2030: 1.5 ล้านล้านเยน (คาดการณ์) 
  • ปี 2035: 2.5 ล้านล้านเยน (คาดการณ์) 
  • อัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR): 10.99% 

 

ที่มา 

ที่มา

เทคโนโลยีแบตเตอรี่รุ่นถัดไป |การพัฒนาแบตเตอรี่ Solid-State และ LFP

นวัตกรรมด้านแบตเตอรี่กำลังยกระดับสมรรถนะของ BESS อย่างก้าวกระโดด 

ปัจจุบันกว่า 99% ของตลาดแบตเตอรี่สำหรับการกักเก็บพลังงานแบบติดตั้งประจำที่ (Stationary Storage) ใช้เทคโนโลยีลิเธียมไอออนฟอสเฟต (LFP) ซึ่งช่วยเพิ่มความปลอดภัยและลดต้นทุนได้อย่างมีนัยสำคัญ

 

แนวโน้มเทคโนโลยีที่น่าจับตามอง 

แบตเตอรี่ลิเธียม ไอออน ฟอสเฟต (Lithium Iron Phosphate  Battery : LFP ) 

  • ความหนาแน่นพลังงาน: ทำได้ถึง 200 Wh/kg 
  • อายุการใช้งาน: มากกว่า 10,000 รอบการชาร์จ-ดิสชาร์จ 
  • ต้นทุน: ลดลง 60% เมื่อเทียบกับปี 2020 

 

แบตเตอรี่โซลิดสเตต (Solid-State Battery)

  • ปี 2025: คาดว่าจะเริ่มผลิตในระดับอุตสาหกรรม 
  • ปี 2028: เริ่มใช้งานเชิงพาณิชย์อย่างเต็มรูปแบบ 
  • ความหนาแน่นพลังงาน: สูงกว่าปัจจุบัน 2–3 เท่า 
  • เวลาในการชาร์จ: ลดลงเหลือเพียง 1/3 

 

เทคโนโลยีอื่น ๆ 

  • แบตเตอรี่โซเดียม-ไอออน: วัตถุดิบราคาถูกกว่า ลิเธียม ถึง 10 เท่า 
  • แบตเตอรี่แบบโฟลว์: อายุการใช้งานยาวนานกว่า 20 ปี 
  • แบตเตอรี่กราฟีน: รองรับการชาร์จ-ดิสชาร์จความเร็วสูงพิเศษ 

 

ที่มา

ผลต่อภาคการผลิตและกลยุทธ์การปรับตัว |จุดเปลี่ยนของยุทธศาสตร์พลังงาน

การขยายตัวของการใช้ BESS กำลังเปลี่ยนโฉมยุทธศาสตร์พลังงานของภาคการผลิตอย่างสิ้นเชิง รัฐบาลญี่ปุ่นมีแผนลงทุนกว่า 150 ล้านล้านเยนภายใน 10 ปีข้างหน้า ทำให้ผู้ประกอบการในภาคการผลิตต้องเร่งปรับกลยุทธ์เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่นี้

กลยุทธ์ที่ภาคการผลิตควรดำเนินการ

กลยุทธ์ระยะสั้น (1–2 ปี)

  • ใช้ประโยชน์จากเงินอุดหนุนเพื่อเริ่มติดตั้งระบบ 
  • ลดค่าไฟทันทีด้วยการทำ Peak Cut 
  • ใช้งานควบคู่กับ UPS ที่มีอยู่เดิมเพื่อลดความเสี่ยง

กลยุทธ์ระยะกลาง (3–5 ปี)

  • ผสานการทำงานร่วมกับพลังงานหมุนเวียน 
  • เข้าร่วมโครงการโรงไฟฟ้าเสมือน (Virtual Power Plant : VPP) 
  • สร้าง ระบบจัดการพลังงาน (Energy Management System : EMS) 

กลยุทธ์ระยะยาว (5–10 ปี)

  • เปลี่ยนผ่านสู่ระบบผลิต-ใช้ไฟเองเต็มรูปแบบ
  • ผลักดันโรงงานสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน
  • พิจารณาขยายสู่ธุรกิจด้านพลังงาน

 

ที่มา

 

 

สรุป |ปัจจัยสำคัญสู่ความสำเร็จในการเลือกและติดตั้ง BESS และ UPS สำหรับภาคการผลิต

BESS และ UPS ต่างมีจุดแข็งเฉพาะตัว การทำความเข้าใจคุณสมบัติของแต่ละระบบและเลือกใช้อย่างเหมาะสม คือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จของโรงงานอุตสาหกรรม

การใช้ BESS ในภาคการผลิตไม่ได้เป็นเพียงการแก้ปัญหาไฟดับอีกต่อไป แต่ได้ก้าวสู่การเป็น “การลงทุนเชิงกลยุทธ์ด้านพลังงาน” 

ด้วยการออกแบบความจุที่เหมาะสม การใช้ประโยชน์จากเงินอุดหนุน และการวางยุทธศาสตร์พลังงานระยะยาว โรงงานสามารถบรรลุผลลัพธ์ที่ชัดเจน ได้แก่ การลดต้นทุน 10–30% และการคงอัตราการทำงาน (Availability) ให้สูงกว่า 99.9%

 

5 ปัจจัยสำคัญสู่การติดตั้งที่ประสบความสำเร็จ

  • การกำหนดวัตถุประสงค์ชัดเจน: เลือกความสำคัญระหว่าง Peak Cut, การสำรองไฟ และการบูรณาการพลังงานหมุนเวียน 
  • การออกแบบความจุที่เหมาะสม: หลีกเลี่ยงการติดตั้งเกินหรือขาดเพื่อให้คุ้มค่าทางเศรษฐกิจ 
  • การใช้ประโยชน์จากเงินอุดหนุน: ผสานมาตรการสนับสนุนจากรัฐบาลและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อลดภาระการลงทุนเริ่มต้น 
  • การติดตั้งแบบเป็นขั้นตอน: เริ่มจากโครงการขนาดเล็ก ทดสอบผลลัพธ์ และค่อยขยายต่อไป 
  • การจัดทำแผนบำรุงรักษา: เพื่อให้ระบบทำงานได้เต็มประสิทธิภาพเสมอในระยะยาว 

 

ปี 2025 ถือเป็น “จังหวะทอง” ของการลงทุนใน BESS 

ด้วยระบบเงินอุดหนุนที่ครอบคลุม การพัฒนาทางเทคโนโลยี และระยะเวลาคืนทุนที่ชัดเจน ผู้ประกอบการในภาคการผลิตจึงมีโอกาสเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน ควบคู่ไปกับการบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน

 

ที่มา

ร่วมเริ่มต้นธุรกิจของคุณกับ เอลโม เทค

นำเสนอโซลูชันลดต้นทุน
เพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจของคุณ

บริการของเราออกแบบมาเพื่อช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงานของคุณ